รศ.นพ.สรนิต ศิลธรรม ประธานกรรมการนวัตกรรมแห่งชาติ NIA กล่าวว่า 2 กันยายน 2565 เป็นโอกาสครบรอบ 13 ปี ของการจัดตั้ง NIA เป็นองค์การมหาชน ที่ผ่านมา NIA ในฐานะ "หน่วยงานบูรณากรเชิงระบบ (System Integrator)" ได้มุ่งมั่นสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบนวัตกรรมไทยและเชื่อมโยงการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วนภายใต้ระบบนวัตกรรม และเป็นฟันเฟืองสำคัญในระบบวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) ของประเทศ ซึ่งในช่วงแรก NIA เน้นการให้ทุนเอสเอ็มอีสำหรับสร้างธุรกิจนวัตกรรม ต่อมาจึงมุ่งสร้างให้เกิดระบบนิเวศนวัตกรรมจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะระบบนิเวศของวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup Ecosystem) และเมื่อประเทศไทยมีผู้เล่นใหม่ด้านสังคมที่เข้ามามีบทบาทในเรื่องนวัตกรรม NIA ก็ให้การสนับสนุนเพื่อให้เกิดธุรกิจนวัตกรรมเพื่อสังคม (Social Innovation) ขึ้นในทุกภูมิภาคของประเทศ รวมทั้งการพัฒนาศักยภาพด้านนวัตกรรมบนฐานเทคโนโลยีเชิงลึก (DeepTech) เพื่อสร้างศักยภาพให้กับระบบเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของประเทศให้พร้อมปรับตัวและรับกับความเปลี่ยนแปลงในอนาคต โดยเฉพาะการขับเคลื่อน 3 ระบบเศรษฐกิจสำคัญของประเทศ ได้แก่ 1) เศรษฐกิจฐานราก ที่ตอบโจทย์การสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนและพื้นที่ 2) เศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน เพื่อให้เกิดระบบเศรษฐกิจที่สนับสนุนการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและรักษาสภาพแวดล้อม และ 3) เศรษฐกิจสร้างสรรค์ ที่เกิดจากฐานองค์ความรู้ ทรัพย์สินทางปัญญา และการศึกษาวิจัย ซึ่งเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมพื้นฐานทางประวัติศาสตร์การสั่งสมความรู้ของสังคมไทย
ดร. พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการ NIA เปิดเผยว่า NIA ปรับเปลี่ยนบทบาทจากการเป็น System Integrator สู่การเป็น "ผู้อำนวยความสะดวกทางนวัตกรรม (Focal Facilitator)" ผ่านกลยุทธ์การดำเนินงานของ NIA ใน 4 ด้าน ได้แก่ กลยุทธ์ที่ 1 ทำให้ระบบนวัตกรรมไทยเป็นระบบที่เปิดกว้าง เพื่อเพิ่มจำนวนธุรกิจนวัตกรรมที่มีศักยภาพในระดับมวลวิกฤตที่สร้างความเปลี่ยนแปลงต่อประเทศ ด้วยการพัฒนาความร่วมมือทั้งในระดับประเทศและเวทีสากล และสร้างโอกาสการเข้าถึงทรัพยากรและการสนับสนุนอย่างทั่วถึง กลยุทธ์ที่ 2 พลิกโฉมระบบการเงินนวัตกรรมไทย ผ่านการเชื่อมโยงแหล่งเงินทุนนวัตกรรมรูปแบบต่างๆ เพื่อให้เกิดระบบการเงินนวัตกรรมที่เอื้อต่อการพัฒนานวัตกรรม สนับสนุนการเติบโต และเข้าถึงได้ และเป็นเครื่องมือสำคัญเชิงระบบที่ช่วยให้ธุรกิจนวัตกรรมสามารถสร้างการเติบโตและผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ กลยุทธ์ที่ 3 สร้างระบบข้อมูลเพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรม ด้วยการส่งเสริมการใช้ข้อมูลนวัตกรรมเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์บนหลักฐานเชิงประจักษ์ของนักนโยบายและผู้ประกอบการในการสร้างและพัฒนานวัตกรรม และ กลยุทธ์ที่ 4 เป็นองค์กรสมรรถนะสูงที่พร้อมต่อความเปลี่ยนแปลง และสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยการปรับเปลี่ยนสู่องค์กรดิจิทัล ปรับใช้มาตรฐานการบริหารจัดการ และการพัฒนาศักยภาพบุคลากร"
"ทั้งนี้ การขับเคลื่อนเพื่อยกระดับความสามารถทางนวัตกรรมของประเทศให้มุ่งสู่การเป็น "ชาติแห่งนวัตกรรม" (Innovation Nation) ที่พร้อมเติบโตและสามารถสร้างนวัตกรรมที่สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน จำเป็นต้องมุ่งใน 6 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ 1) รัฐ คือ Sandbox และ Accelerator ของนวัตกรรม 2) เร่งการเติบโตในการลงทุนทางนวัตกรรมเชื่อมกับการใช้ประโยชน์จากงานวิจัย 3) กระตุ้นกิจกรรมและสร้างฐานข้อมูลตลาดการเงินนวัตกรรมและตลาดทุนทางเทคโนโลยี 4) เพิ่มจำนวนวิสาหกิจฐานนวัตกรรมเพื่อการปฏิรูปโครงสร้างทางธุรกิจ 5) กระตุ้นการจดทะเบียนและใช้ประโยชน์สิทธิบัตรเพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าและบริการ และ 6) เพิ่มจำนวนนวัตกรรมฐานความคิดสร้างสรรค์และวัฒนธรรม" ดร. พันธุ์อาจ กล่าวเพิ่มเติม
ดร. เรเน่ รอห์เบรค ศาสตราจารย์ด้านนวัตกรรมและการเปลี่ยนแปลง และผู้อำนวยการศูนย์คาดการณ์อนาคต จาก EDHEC Business School ให้ข้อมูลว่า ปัจจัยสำคัญที่มีส่วนขับเคลื่อนให้ประเทศไทยเกิดการเปลี่ยนแปลง ได้แก่ 1) Thailand 4.0 จากการผลิตสินค้าสู่การส่งเสริมเทคโนโลยี โดยเฉพาะ 4 เทคโนโลยีหลัก (เทคโนโลยีชีวภาพ เทคโนโลยีนาโน เทคโนโลยีวัสดุขั้นสูง และเทคโนโลยีดิจิทัล) 2) การขยายตัวของการค้าบริการระหว่างประเทศ โดยเปลี่ยนจากการพึ่งพาการท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียว เป็นบริการระดับมืออาชีพที่มีการทำการค้าทางอ้อมผ่านห่วงโซ่มูลค่า ซึ่งคาดการณ์ว่าจะมีการขยายตัวอย่างก้าวกระโดดในอีก 10 ปีข้างหน้า 3) การผลักดันไปสู่เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและความรู้ บริษัทจะมีพนักงานที่มีการศึกษาระดับปริญญาในด้านการผลิต สังคมศาสตร์ และไอที การบริการแนะแนวอาชีพที่มีคุณภาพและนโยบายที่กระตุ้นความต้องการทักษะระดับสูงในตลาดแรงงาน และ 4) การพัฒนาที่ยั่งยืนและเศรษฐกิจสีเขียว ซึ่งมาพร้อมกับขนาดของแรงงานที่เล็กลง เน้นการทำงานเชิงคุณภาพมากขึ้น และนี่จะทำให้ผลิตภัณฑ์สีเขียวมีราคาที่สูงขึ้น"
"สำหรับองค์กรการรับมือความเปลี่ยนแปลงต้องมีการเตรียมการรับมือโดยอาศัยโมเดลฟิวเจอร์ฟิตเนส (FUTURE 'FIT'NESS MODEL) ซึ่งเป็นโมเดลการเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคต จะประกอบด้วย การรับรู้ (Perceiving) เป็นการสำรวจสัญญาณแห่งการเปลี่ยนแปลง เพื่อเตรียมตัวรับมือกับความท้าทายที่เกิดขึ้น เพื่อลดเวลาการตอบสนอง การคาดการณ์ (Prospecting) ซึ่งคาดการณ์ผลที่จะเกิดขึ้น เพื่อเพิ่มความเร็วในการตัดสินใจ และการทดลอง (Probing) เพื่อแก้ปัญหาด้วยทรัพยากรที่มี ทั้งนี้ ความสามารถในการคาดการณ์อนาคตเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องเตรียมพร้อม เพื่อให้สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงได้อย่างเหมาะสม ซึ่งควรจัดให้มีการอบรมและเตรียมความพร้อมให้กับพนักงานระดับผู้จัดการ โดยเฉพาะหากต้องการสร้างให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระดับอุตสาหกรรมและระบบนิเวศ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกต้องใช้ "มนุษย์" เป็นตัวขับเคลื่อนโดยอาศัยความร่วมมือระหว่างผู้นำและเครือข่ายพันธมิตรที่เข้มแข็ง และสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้คือ ความรู้สึกสนุกกับการเป็นนวัตกร เพราะถือว่าเป็นการทำงานที่หนักและอาจจะไม่ได้รับผลตอบแทนทันที จึงควรมั่นใจว่า คุณจะมีความสุขและสนุกไปกับสี่งที่สร้างสรรค์" ดร. เรเน่ ทิ้งท้าย
ที่มา: เจซีแอนด์โค คอมมิวนิเคชั่นส์