ผู้ว่าฯ สุขุมพันธุ์ กล่าวว่า กทม. ได้เร่งแก้ไขปัญหาที่อาจส่งผลกระทบต่อผู้เรียนและผู้สอนในโรงเรียนอย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อระบบงาน และคุณภาพการเรียนรู้ของนักเรียน อาทิ ด้านสวัสดิการของครูนั้น กทม.ได้พยายามแก้ไขอย่างต่อเนื่อง เช่น จัดโครงการบ้านยิ้มเพื่อเป็นสวัสดิการด้านที่อยู่อาศัย อีกทั้งจะสร้างบ้านพักครูเพิ่มเติมซึ่งเป็นอาคาร 4 ชั้นอีกจำนวน 7 หลังเพื่อบรรเทาปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย และโครงการปรับหนี้บัตรเครดิตเพื่อจัดการปัญหาหนี้สินทั้งในระบบและนอกระบบ เพื่อให้ครูมีกำลังใจในการทำหน้าที่ต่อไป อีกทั้งในส่วนของปัญหาความล่าช้าในการเบิกจ่ายงบประมาณเนื่องจากปีงบประมาณและปีการศึกษาไม่ตรงกัน นั้น กทม. จะปรับหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายใหม่ โดยตั้งคณะกรรมการเพื่อหารือและแก้ไขปัญหาดังกล่าว ซึ่งมี นายทวีศักดิ์ เดชเดโช รองปลัดกรุงเทพมหานคร เป็นประธานในพิจารณาไม่ให้เกิดความล่าช้าในการจัดสรรงบประมาณ รวมถึงการจัดซื้อทั้งอุปกรณ์การเรียน และอาหารเสริมในแต่ละภาคการศึกษา เป็นต้น
ผู้ว่าฯกทม. กล่าวด้วยว่า สำหรับแนวทางการจัดการศึกษาในปี 2553 จะเน้นการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการเรียนการสอนให้มากขึ้น เช่น คอมพิวเตอร์มัลติพ้อยท์ (multipoint) เพื่อให้นักเรียนสนุกสนานกับการเรียนรู้ร่วมกัน การสอนระบบทางไกลผ่านดาวเทียมลดปัญหาขาดแคลนบุคลากร และการเพิ่มศักยภาพการเรียนรู้ของนักเรียน โดยกทม. ได้ร่วมกับสถาบันกวดวิชาชื่อดัง จัดติวเพื่อเตรียมความพร้อมให้แก่นักเรียนกทม. ในระดับชั้น ม.3 ที่จะสอบเข้าระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย และระดับชั้น ม.5-ม.6 รวมจำนวนกว่า 8,100 คน ให้มีความพร้อมในการสอบแข่งขันเข้าสู่ระดับชั้นอุดมศึกษาในสถาบันที่มีชื่อเสียงมากยิ่งขึ้น ซึ่งโครงการดังกล่าวจะเปิดตัวและแถลงข่าวในเร็วๆ นี้ และเริ่มเข้ารับการติวในเดือน พ.ย. นี้เป็นต้นไป นอกจากนี้กทม. กำลังยกร่างหลักสูตรการศึกษาใหม่ อาทิ หลักสูตรรักชาติอย่างสร้างสรรค์ เพื่อส่งเสริมคุณธรรมและจริยธรรมให้แก่นักเรียน โดยกทม. ได้เชิญ ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เข้ามาดูแลในเรื่องดังกล่าวด้วย