อย่างไรก็ตามธุรกิจการขายอสังหาริมทรัพย์มีการเติบโตเป็นที่น่าพอใจ โดยมีรายได้อยู่ที่ 140 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% แม้พื้นที่ขายจะลดลง แต่บริษัทสามารถปรับเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นจาก 25% เป็น 47%ได้สำเร็จ โดยเฉพาะในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ลองถั่น ซึ่งบริษัทได้ดำเนินกลยุทธ์การตั้งราคาที่เหมาะสมและการให้บริการอย่างมีประสิทธิภาพตอบสนองต่อความต้องการของนักลงทุน รวมรายได้อื่น ๆ 24 ล้านบาท "แม้เศรษฐกิจเวียดนามยังคงเผชิญกับภาวะแรงกดดันจากภายนอก บริษัทมีความเชื่อมั่นว่าสถานะทางการเงินของบริษัทยังคงมีความแข็งแกร่ง โดย ณ สิ้นไตรมาสแรกของปี 2568 บริษัทมีสินทรัพย์รวม อยู่ที่ 14,600 ล้านบาท และมีภาระหนี้สินรวมลดลง สะท้อนถึงประสิทธิภาพในการบริหารจัดการทางการเงินอย่างรัดกุม และเชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตในระยะยาวของประเทศ
โดยอ้างอิงข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย ที่ระบุว่า GDP ของเวียดนามในไตรมาสแรกปี 2568 ขยายตัว 6.93% แม้ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า แต่ยังถือว่าแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาค" นายสุขุม กล่าว ปัจจุบัน อมตะ วีเอ็น มีที่ดินรองรับการขายในประเทศเวียดนาม จำนวน 2 แห่ง ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ฮาลอง บนพื้นที่รวม 714 เฮกตาร์ ซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนาเฟสที่ 3 เพื่อรองรับความต้องการในอนาคต และนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ลองถั่น บนพื้นที่รวม 410 เฮกตาร์ ซึ่งยังมีศักยภาพในการขยายตัวต่อเนื่องในอนาคต นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนในการดำเนินโครงการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Rooftop) ภายในนิคมอุตสาหกรรม เพื่อส่งเสริมแนวทางการดำเนินธุรกิจตามหลักสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) โดยมุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Carbon Neutrality) ภายในปี 2583 ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคตอีกด้วย
