เลขาธิการ สทนช. กล่าวว่า บันทึกความเข้าใจฉบับนี้ มีระยะเวลา 5 ปี โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมความร่วมมือเชิงวิชาการและการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระหว่างสองหน่วยงาน ซึ่ง สทนช. เป็นหน่วยงานหลักของไทยในการกำหนดนโยบาย ยุทธศาสตร์ และแผนแม่บทด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศ และ SEI ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยระดับนานาชาติที่ไม่แสวงหากำไร มีความเชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการพัฒนาที่ยั่งยืน เพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนแนวทางการจัดการน้ำและทรัพยากรธรรมชาติที่ตอบสนองต่อบริบทการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ภายใต้หลักการของความเสมอภาคและผลประโยชน์ร่วมกัน เพื่อเสริมสร้างธรรมาภิบาลด้านทรัพยากรน้ำในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง โดยมุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาท้าทายด้านทรัพยากรน้ำและทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน โดยมีขอบเขตความร่วมมือครอบคลุมประเด็นสำคัญ ได้แก่ การจัดการทรัพยากรน้ำข้ามพรมแดน เพื่อส่งเสริมการใช้ทรัพยากรลุ่มน้ำโขงอย่างเท่าเทียมและยั่งยืน การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโดยยึดชุมชนและระบบนิเวศเป็นศูนย์กลาง การใช้แนวทางตามธรรมชาติในการลดความเสี่ยงจากน้ำท่วมและภัยแล้ง เช่น การฟื้นฟูพื้นที่ชุ่มน้ำและลุ่มน้ำ การพัฒนาเครื่องมือช่วยตัดสินใจ เพื่อสนับสนุนการกำหนดนโยบายและการวางแผน และการส่งเสริมความร่วมมือด้านเยาวชนและน้ำ เพื่อเปิดพื้นที่ให้ผู้นำรุ่นใหม่มีบทบาทกำหนดอนาคตด้านน้ำของภูมิภาค
ภายหลังการลงนาม สทนช. และ SEI ได้ร่วมหารือร่างแผนปฏิบัติการร่วม 3 ปี (พ.ศ.2568-2570) เพื่อขับเคลื่อนกิจกรรมภายใต้กรอบความร่วมมือ โดยจะมุ่งเน้นการพัฒนาโครงการเพื่อการตั้งรับปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ การวิจัยเชิงนโยบาย และการสร้างขีดความสามารถให้กับหน่วยงานในระดับพื้นที่ รวมถึงการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการ การฝึกอบรม และการระดมความคิดเห็นร่วมกับภาคีเครือข่ายในระดับประเทศและภูมิภาค
"ความร่วมมือครั้งนี้ นับเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับบทบาทของไทยในการขับเคลื่อนการจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนในเวทีภูมิภาคและนานาชาติ และเปิดโอกาสให้ สทนช. ได้ประสานความร่วมมือกับสถาบันวิจัยชั้นนำและผู้สนับสนุนระดับโลกเพื่อพัฒนานโยบายที่มีฐานวิชาการและผลักดันสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม นอกจากนี้ความร่วมมือกับ SEI ยังจะช่วยให้ สทนช. ขยายเครือข่ายความร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศ สถาบันวิจัย และภาคเอกชน อันจะนำไปสู่การระดมทรัพยากรทั้งด้านงบประมาณและเทคนิค เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงด้านน้ำของประเทศไทยให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น" ดร.สุรสีห์ เลขาธิการ สทนช. กล่าว