พาคนไปบำบัดยาเสพติด ต้องเริ่มจากอะไร ใครช่วยได้บ้าง?

การพาคนใกล้ชิดที่มีปัญหายาเสพติดไปเข้าสู่กระบวนการบำบัด อาจดูเป็นเรื่องยากและซับซ้อนในสายตาใครหลายคน เพราะเต็มไปด้วยความห่วงใย สับสน และไม่แน่ใจว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี แต่จริง ๆ แล้ว กระบวนการนี้สามารถเริ่มต้นได้ทันที หากเรารู้ขั้นตอนที่ถูกต้อง และรู้ว่ามีใครช่วยเราได้บ้างนี่คือแนวทางเบื้องต้นที่ช่วยให้คุณรู้วิธีพาคนไปบำบัดยาเสพติดได้อย่างเข้าใจและทำให้เขาไม่รู้สึกโดดเดี่ยว

Tuesday 10 June 2025 11:02
พาคนไปบำบัดยาเสพติด ต้องเริ่มจากอะไร ใครช่วยได้บ้าง?

1. เริ่มจาก "การยอมรับ" ของทั้งสองฝ่าย

การพาคนใกล้ชิดไปบำบัด ไม่สามารถเริ่มต้นได้จริงจังหากไม่มีการยอมรับทั้งจากตัวผู้เสพและคนในครอบครัว สำหรับคนรอบข้าง การยอมรับว่าเขากำลังมีปัญหา ไม่ใช่แค่ "ช่วงเกเร" หรือ "ระยะทดลอง" โดยเฉพาะในเด็กที่ติดยาเสพติด จะช่วยให้เรามองเห็นความจำเป็นของการรักษาอย่างตรงไปตรงมา ไม่ปกป้อง ไม่ปฏิเสธ และไม่หลอกตัวเองอีกต่อไป

ในขณะเดียวกัน หากผู้ใช้สารเสพติดยังรู้สึกว่าไม่ได้เป็นอะไรมากหรือเลิกเองได้ โดยไม่ยอมรับว่าตัวเองต้องการความช่วยเหลือ การพาไปบำบัดก็อาจกลายเป็นแค่การฝืนใจ ไม่ได้ผลในระยะยาว ความเต็มใจจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ

การยอมรับไม่ได้แปลว่าต้องรู้สึกผิดหรือโทษตัวเอง แต่คือการมองปัญหาอย่างตรงไปตรงมา และยอมรับว่าถึงเวลาต้องขอความช่วยเหลือแล้ว การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อทุกฝ่ายยอมเปิดใจพร้อมเดินหน้าไปด้วยกัน

2. คุยกันอย่างเปิดใจและไม่ตัดสิน

การเริ่มบทสนทนาเรื่องยาเสพติดกับคนใกล้ตัว ต้องอาศัยความละเอียดอ่อนมากกว่าการบอกให้เขา "หยุด" หรือ "ไปบำบัด" เพราะถ้าคำพูดฟังดูเหมือนการกล่าวโทษหรือตัดสิน อีกฝ่ายอาจตั้งกำแพงทันที บทสนทนาที่ดีควรเริ่มจากความห่วงใย ไม่ใช่การตำหนิ ใช้น้ำเสียงที่อ่อนโยนและเน้นว่าเราต้องการช่วย ไม่ใช่จับผิด การพูดด้วยความเข้าใจ เช่น "เราสังเกตว่าเธอดูเหนื่อย ๆ ไปนะ อยากเล่าอะไรให้เราฟังไหม" มักได้ผลมากกว่าการถามตรง ๆ ว่า "ยังใช้ยาอยู่ใช่ไหม" เพราะคำถามแบบหลังอาจทำให้รู้สึกถูกคุกคามและไม่ปลอดภัย

สิ่งสำคัญคือ ต้องฟังโดยไม่ขัด ไม่สรุปแทน และไม่รีบเสนอทางออกทันที เพราะบางครั้งแค่ได้พูดออกมา ก็ช่วยให้เขากลับมาทบทวนตัวเองมากขึ้นแล้ว หากการคุยครั้งแรกยังไม่ได้ผล ก็ไม่เป็นไร อย่าคาดหวังว่าจะเปลี่ยนใจเขาได้ทันที แต่มองว่าการเปิดพื้นที่ให้เขาพูด คือการเริ่มสร้างความไว้วางใจ และเมื่อถึงวันที่เขาพร้อม เขาจะนึกถึงคุณเป็นคนแรก ๆ ที่อยากขอความช่วยเหลือ

3. หาข้อมูลเกี่ยวกับศูนย์บำบัดหรือช่องทางช่วยเหลือ

เมื่อคนใกล้ตัวเริ่มเปิดใจและแสดงความพร้อมที่จะรับการช่วยเหลือ ขั้นตอนต่อไปคือการหาข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่บำบัดที่เหมาะสมกับเขา การเลือกศูนย์ที่มีความเชี่ยวชาญและน่าเชื่อถือ จะช่วยให้กระบวนการฟื้นฟูมีประสิทธิภาพมากขึ้น และลดโอกาสของการกลับไปใช้สารเสพติดซ้ำ

ในประเทศไทยมีทั้งศูนย์ของรัฐและเอกชนที่ให้บริการบำบัดและฟื้นฟูอย่างจริงจัง โดยหนึ่งในตัวอย่างสถานบำบัดยาเสพติดเอกชนที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นสถานฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วยยาเสพติดและให้คำปรึกษาด้านสุขภาพจิตแบบถูกต้องตามกฏหมายก็คือ Lighthouse สถานบำบัดฟื้นฟูผู้ป่วยติดยาเสพติดและแอลกอฮอล์มาตรฐานระดับนานาชาติ

4. รู้จักประเภทของการบำบัด

การบำบัดยาเสพติดไม่ใช่การเข้าไปอยู่ที่ไหนสักแห่งแล้วจบ เพราะจริง ๆ แล้วมีหลายรูปแบบที่เหมาะกับผู้ป่วยแต่ละคนต่างกัน ทั้งในแง่ของระดับการเสพสารเสพติด ความพร้อมของครอบครัว และภาระหน้าที่ในชีวิตประจำวัน การเข้าใจประเภทของการบำบัดจึงช่วยให้เลือกวิธีที่เหมาะสมและมีโอกาสฟื้นฟูได้จริง ซึ่งโดยทั่วไป การบำบัดจะแบ่งเป็นแบบไป-กลับ และแบบพักค้างคืนในสถานที่

แบบไป-กลับเหมาะกับผู้ที่อาการยังไม่รุนแรง หรืออยู่ในระยะเริ่มต้น ผู้ป่วยจะเดินทางมาเข้ารับการบำบัดตามเวลานัด เช่น การพูดคุยกับนักจิตวิทยา การเข้ากลุ่มบำบัด หรือรับยาควบคุมอาการ แล้วกลับไปใช้ชีวิตตามปกติ ขณะที่แบบพักค้างคืนภายในศูนย์บำบัดจะเหมาะกับผู้ที่มีพฤติกรรมเสพต่อเนื่องเป็นเวลานาน หรือมีความเสี่ยงสูงที่จะกลับไปใช้ซ้ำ การดูแลแบบนี้จะมีทีมแพทย์ พี่เลี้ยง และผู้เชี่ยวชาญดูแลตลอด 24 ชั่วโมง และมักมีโปรแกรมฟื้นฟูต่อเนื่องไปจนถึงการเตรียมความพร้อมกลับสู่สังคม

อย่างไรก็ตาม ไม่มีรูปแบบใดที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน เพราะแต่ละคนมีพื้นฐานต่างกัน จุดสำคัญคือการเลือกวิธีที่ตอบโจทย์ชีวิตผู้เสพได้มากที่สุด และให้โอกาสเขาเริ่มต้นใหม่ในแบบที่เป็นไปได้จริง

5. ใครสามารถพาไปบำบัดได้บ้าง?

การพาใครสักคนเข้าสู่กระบวนการบำบัดไม่จำเป็นต้องรอให้เจ้าหน้าที่มาดำเนินการ ญาติหรือคนใกล้ชิดสามารถพาไปบำบัดได้ทันที หากผู้ป่วยยินยอมและสมัครใจ โดยสามารถติดต่อศูนย์บำบัดหรือโรงพยาบาลที่มีบริการด้านนี้ได้โดยตรง

แต่หากผู้เสพไม่ยอมรับการรักษา และเริ่มมีพฤติกรรมที่เป็นอันตรายต่อตนเองหรือคนรอบข้าง อาจต้องขอความช่วยเหลือจากบุคคลภายนอก เช่น ผู้นำชุมชน อสม. หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อเข้าสู่กระบวนการบำบัดแบบบังคับตามขั้นตอนของกฎหมาย

ในบางกรณี ผู้ที่รู้ตัวว่ากำลังมีปัญหา ก็สามารถไปขอรับการบำบัดด้วยตนเองได้เช่นกัน ซึ่งมักเป็นกรณีที่การรักษามีแนวโน้มได้ผลดี เพราะเกิดจากแรงจูงใจภายในและความเต็มใจที่จะเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง

สรุป

การพาคนที่เรารักเข้าสู่กระบวนการบำบัดยาเสพติดไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่มีสูตรตายตัวว่าจะต้องทำอย่างไรถึงจะสำเร็จ แต่ทุกก้าวเล็ก ๆ ที่เริ่มจากการยอมรับ ปรึกษากันอย่างเปิดใจ ไปจนถึงการหาศูนย์บำบัดที่เหมาะสมล้ต้องอาศัยความเข้าใจ ความอดทน และความหวัง การฟื้นฟูไม่ใช่แค่เรื่องของผู้เสพ แต่คือการเดินไปด้วยกันทีละนิด ทีละก้าว ด้วยใจที่ยังเชื่อว่า "คนเราเปลี่ยนได้" เสมอ