Gen AI-Native เข้าใจธรรมชาติการเรียนรู้ของเด็กยุคใหม่
อาจารย์สรยศ พนายางกูร กรรมการสมาคมอนุบาลศึกษาแห่งประเทศไทยฯ และผู้บริหารโรงเรียนเศรษฐบุตรอุปถัมภ์ กล่าวในเวทีเสวนาว่า "เด็ก Gen Alpha เป็นเด็กที่เกิดในช่วงปี2010 - 2024 และเจนเนอเรชันใหม่ล่าสุดอย่าง Gen Beta เกิดระหว่างปี 2025 - 2039 ซึ่งทั้งสองเจนเป็นกลุ่มที่เกิดมาพร้อมเทคโนโลยีที่ไม่ใช่ Digital Technology แล้ว แต่เป็น AITechnology หรือที่หลายคนเรียกว่า AI-Native ที่ตอบสนองต่อความต้องการได้รวดเร็วและแถมบางครั้งช่วยคิดให้ด้วย เด็กในเจนเนอเรชันนี้จึงจะคุ้นชินกับการได้รับข้อมูลที่รวดเร็ว ผ่านภาพ เสียง และคำสั่งสั้น ๆ ซึ่งความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้มีทั้งด้านบวกและด้านลบที่ผู้ปกครองควรทำความเข้าใจ เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่เหมาะสมให้เด็ก ๆ"
รู้ทันทักษะที่จำเป็น เตรียมลูกให้พร้อมสำหรับอนาคต
ด้าน คุณมานิตย์ จันสุทธิรางกูร CEO & Founder iMAKE Innovation เปิดเผยว่า เทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป นอกจากจะส่งผลต่อกระบวนการเรียนรู้ของเด็กแล้ว ยังส่งผลให้อาชีพในอนาคตเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย เด็กวันนี้อาจโตไปเป็น Cybersecurity Expert, Prompt Engineer หรือ Well-being Strategist ซึ่งไม่เคยมีในยุคพ่อแม่ เราจึงต้องเตรียมปูทักษะใหม่ให้เด็ก เพื่อพร้อมรับสำหรับตลาดแรงงานในอนาคต โดยผลสำรวจจาก World Economic Forum ระบุว่า ในปี 2030 ทักษะที่บริษัทชั้นนำให้ความสำคัญเป็น 3 ลำดับแรกจะเปลี่ยนไปสู่ทักษะแห่งอนาคต ได้แก่
- AI and big data เข้าใจการทำงานของระบบ AI และการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมหาศาล เพื่อใช้ในการตัดสินใจหรือสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่
- Networks and cybersecurity มีความรู้พื้นฐานด้านเครือข่ายและความปลอดภัยทางไซเบอร์ เพื่อปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลและองค์กรจากภัยคุกคามดิจิทัล
- Technological literacy เข้าใจหลักการทำงาน และมีความรับผิดชอบในการใช้เทคโนโลยี
แต่ในขณะเดียวกัน ทักษะอื่น ๆ ที่สำคัญอีก 7 ทักษะจะเป็นทักษะเกี่ยวกับตัวตนทั้งนั้นเช่น การคิดเชิงสร้างสรรค์, ความอดทน, ยืดหยุ่น ปรับตัวไว, สงสัยใคร่รู้ และมีภาวะความเป็นผู้นำ
เปิดแนวทางเลี้ยงลูกให้ฉลาดสมวัย พร้อมรู้ทัน AI
ปิดท้ายที่ ดร.อัญจลา จารุมิลินท อุปนายกสมาคมอนุบาลศึกษาแห่งประเทศไทยในพระราชูปถัมภ์ฯ และผู้อำนวยการโรงเรียนกับทอง ได้ร่วมแบ่งปันมุมมองว่าหลายประเทศได้มองเห็นว่าปฐมวัย เป็นวัยสำคัญที่จะเตรียมทักษะสำหรับยุค AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ประเทศจีนถือเป็นตัวอย่างน่าสนใจที่ได้มีการปรับแผนการศึกษาระดับชาติเรื่องการใช้งาน AI ในเด็ก แต่ก็มีนโยบายให้เด็กห่างจากเทคโนโลยีในช่วงปฐมวัย โดยคำนึงถึงพัฒนาการตามช่วงวัยอย่างจริงจัง ส่วนในประเทศไทย กระทรวงศึกษาธิการได้มีนโยบายส่งเสริมการพัฒนาเด็กปฐมวัย ผ่านแนวทาง "3 เร่ง 3 ลด 3 เพิ่ม" โดยในประเด็นเทคโนโลยี ได้ย้ำเรื่องการลดเวลาในการใช้หน้าจอของเด็ก ดร.อัญจลา ได้สรุปความท้าทายในการพัฒนาเด็กในยุค AI มา 3 ประเด็นที่น่าสนใจดังนี้
- ตัดสินใจเร็วเกินไป เด็กยุคนี้เคยชินกับการตัดสินทันทีจากภาพ เสียง หรือคำพูดสั้น ๆ จนทำให้ขาดการคิดวิเคราะห์และไม่ใส่ใจรายละเอียด สำหรับแนวทางที่ช่วยลดปัญหานี้คือ พ่อแม่ควรหมั่นตั้งคำถามปลายเปิด เพื่อกระตุ้นให้เด็กฝึกคิดวิเคราะห์ และที่สำคัญต้องอดทนรอคำตอบเพื่อให้เด็กได้ฝึกคิดและเรียนรู้จากผลลัพธ์ของการตัดสินใจของตนเอง
- รู้ไม่ทันอัลกอริทึม เด็กมักจะเห็นแต่ข้อมูลที่ระบบป้อนให้ตามความชอบ จนเกิดภาวะ "ติดกรอบความคิด" หรือหลงเชื่อโฆษณาชวนเชื่อได้ง่าย ดังนั้นพ่อแม่ควรฝึกให้เด็ก รู้จักยับยั้งชั่งใจ ไตร่ตรองก่อนเชื่อ หรือส่งเสริมความสงสัยใคร่รู้ด้วยกิจกรรมที่ทำร่วมกัน เช่น พาเด็กออกไปสำรวจธรรมชาติรอบบ้าน พูดคุยตั้งข้อสังเกต และฝึกสมาธิผ่านกิจกรรมอย่างวาดภาพ
- ขาดทักษะทางสังคม การอยู่กับหน้าจอบ่อยเกินไปส่งผลให้เด็กขาดการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ไม่สามารถแสดงออกหรือเข้าใจอารมณ์ของคนรอบตัวได้ดี ซึ่งผู้ใหญ่ควรมีบทบาทในการ ควบคุมเวลาและเนื้อหาหน้าจอให้เหมาะสม พร้อมใช้เวลาร่วมกัน เพื่อให้เด็กได้ฝึกทักษะการพูดคุย การรอคอย การรับฟัง และการทำงานร่วมกับผู้อื่นอย่างเป็นธรรมชาติ
"การเลี้ยงเด็กแค่ให้เก่งเรื่องเทคโนโลยี จะต้องสอนให้เขามีทักษะทางด้านตัวตนที่แข็งแรงก่อนเพื่อที่จะได้รู้เท่าทันเทคโนโลยี มีความรับผิดชอบในการใช้ และไม่ลืมทักษะพื้นฐานที่จำเป็นในการใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่นอย่างมีความสุข" ดร.อัญจลา กล่าวทิ้งท้าย