นางสาวดวงดาว มหะนาวานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซาบีน่า จำกัด (มหาชน) หรือ SABINA ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ "ซาบีน่า" เปิดเผยว่า SABINA พร้อมรับมือกับสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ รวมถึงปัจจัยท้าทายจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ สงครามการค้าและอื่นๆ ด้วยการเดินหน้าปรับโครงสร้างการผลิต เพื่อลดต้นทุนและรักษาอัตราการเติบโตของกำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin หรือ GPM) อย่างต่อเนื่อง หลังจากผลการดำเนินงานไตรมาสแรกของปี 2568 ที่ผ่านมา อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทฯ อยู่ที่ 52.5% เพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรกปี 2567 ซึ่งอยู่ที่ 49.5% สะท้อนความสามารถในการทำกำไรของบริษัทฯ ท่ามกลางความผันผวนได้เป็นอย่างดี
"เรามุ่งไปที่โครงสร้างการผลิต โดยมีเป้าหมายที่จะเพิ่มศักยภาพการผลิต แต่ในระหว่างที่เราปรับปรุงโครงสร้างและระบบต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพ เราพบว่า เราสามารถลดต้นทุนจากการปรับโครงสร้างการผลิตได้ ตั้งแต่การตัดสินใจควบรวมโรงงานบุรีรัมย์เข้ากับโรงงานยโสธร ทำให้ต้นทุนค่าเช่า ต้นทุนการผลิต รวมถึงต้นทุนพนักงานฝั่งผลิตลดลงอย่างมีนัยสำคัญ" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SABINA กล่าว
บริษัทฯ ยังเดินหน้าบริหารโครงสร้างการผลิต ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ส่วนให้มีความยืดหยุ่นและเหมาะสม ได้แก่ ส่วนที่บริษัทฯ ผลิตเอง กับส่วนที่จ้างผลิต (Outsource) โดยในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้ ส่วนที่บริษัทฯ ผลิตเอง ซึ่งเป็นสินค้าที่มีมาร์จินสูง ทั้งสินค้าในกลุ่มไฮแฟชั่น และสินค้ารับจ้างผลิต (OEM) จากลูกค้าในยุโรปและสหราชอาณาจักร มีมาร์จินเพิ่มขึ้นจาก 44.9% เป็น 51.5% ขณะที่ส่วนจ้างผลิตจากภายนอก มาร์จินเพิ่มขึ้นจาก 53.5% เป็น 53.8% โดยปัจจุบันสัดส่วนระหว่างสินค้าที่ผลิตเองและสินค้าจ้างผลิตจากภายนอก อยู่ที่ 36% และ 64% ตามลำดับ ซึ่งโครงสร้างดังกล่าวสามารถตอบโจทย์เป้าหมายการรักษาอัตรามาร์จินของบริษัทฯ ไว้ได้เป็นอย่างดีเช่นกัน
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SABINA กล่าวด้วยว่า นอกจากแผนการปรับโครงสร้างการผลิตเพื่อควบคุมต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว SABINA ยังวางแผนเพิ่มรายได้ด้วยการขยายตลาดในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ผ่านช่องทางจำหน่ายทั้ง 3 ช่องทาง ได้แก่ ช่องทางค้าปลีก (Retail) ซึ่งมีเป้าหมายที่จะเปิดให้บริการซาบีน่าช็อปในลักษณะที่เป็นร้านเดี่ยวหรือ Stand Alone Shop ในจุดขายที่ดี อีกประมาณ 10-15 ร้านค้า เพื่อต่อยอดสร้างแบรนด์ "ซาบีน่า" ให้แข็งแกร่ง โดยเป็นการขยายหน้าร้านในรูปแบบการเป็นเจ้าของ (Own Store) ซึ่งจะทำให้ในปีนี้ SABINA จะมีหน้าร้านเพิ่มเป็น 520-525 หน้าร้าน
"การขยายหน้าร้านในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว เพราะเราเชื่อว่า เราจะสามารถหาทำเลที่เป็นจุดขายที่ดีได้ดีกว่าช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจเติบโต รวมถึงสามารถเจรจาต่อรองค่าเช่าได้ในราคาที่สมเหตุสมผล ขณะเดียวกัน การขยายหน้าร้านในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ก็เพื่อรองรับการกลับมาของยอดขายในปีหน้าซึ่งเราเชื่อว่าน่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้น ส่วนช่องทางขายอีก 2 ช่องทาง ได้แก่ ช่องทางไม่มีหน้าร้าน (Non-Store Retailing หรือ NSR) สินค้าของเรายังคงเป็นสินค้าที่มียอดขายสูงสุดในมาร์เก็ตเพลส รวมถึงแพลตฟอร์มช้อปปิ้งออนไลน์ชั้นนำ ซึ่งเรายังมีเป้าหมายที่จะรักษาความเป็นเบอร์หนึ่งต่อไป ด้วยคุณภาพของสินค้า ความหลากหลายของสินค้าที่ครอบคลุมทุกความต้องการ บริการ และการจัดส่ง ขณะที่ช่องทางรับจ้างผลิต (OEM) ถึงจนขณะนี้ สามารถบอกได้ว่า พ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว และคำสั่งซื้อจากลูกค้าทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง" นางสาวดวงดาวกล่าว
สำหรับความคืบหน้าในการลงทุนในฟิลิปปินส์ผ่าน "โมดา" ประเทศฟิลิปปินส์ ที่ SABINA ถือหุ้นในสัดส่วน 77.3% จนถึงขณะนี้ เรียกได้ว่าเป็นช่วงที่ผ่านการวางรากฐานไปแล้ว หลังจากนี้จะเข้าสู่โหมดสร้างการรับรู้เพิ่มขึ้น โดยเป้าหมายเพิ่มหน้าร้านจาก 52 สโตร์ในปัจจุบันเป็น 70 สโตร์ในปีนี้ ยังคงเป็นไปตามแผนที่วางไว้