ความสำเร็จดังกล่าวสร้างความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งให้กับเอสซีจี สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจด้วย ESG (Environmental, Social, Governance) และโดดเด่นด้านนวัตกรรม ด้วยการพัฒนาสินค้า บริการที่ตอบความต้องการลูกค้าอย่างทันท่วงที โดยเฉพาะนวัตกรรมกรีน อาทิ ปูนเอสซีจีคาร์บอนต่ำ ที่อยู่ระหว่างการพัฒนาเป็น Gen 3 สามารถลดการปล่อยคาร์บอนฯ ได้ประมาณ 40% ขณะเดียวกันยังหาโอกาสใหม่ ๆ ขยายการส่งออกสินค้า เช่น ปูนเอสซีจีคาร์บอนต่ำ กระเบื้องคอนกรีต สมาร์ทบอร์ด กระดาษบรรจุภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์อาหาร ไปยังตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ นอกจากนี้ยังบริหารธุรกิจแบบองค์กรคล่องตัว (Agile Organization) เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในตลาดโลก และนำเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพมาประยุกต์ใช้เพื่อปรับปรุงกระบวนการผลิต รวมทั้งบริหารงานบุคคลที่มุ่งสู่การเป็นองค์กรแห่งโอกาสสำหรับทุกคนอย่างเท่าเทียม (Organization of Possibilities)
การจัดอันดับดังกล่าวสำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยนิตยสาร Fortune เป็นปีที่ 2 ของการรวบรวมรายชื่อ 500 บริษัทที่มีรายได้สูงสุดโดยพิจารณาจากรายได้ปีงบประมาณ 2567 ครอบคลุม 7 ประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย ไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และกัมพูชา โดยบริษัททั้งหมดในรายชื่อปี 2568 สร้างรายได้รวม 1.82 ล้านล้านดอลลาร์ ในปี 2567 เพิ่มขึ้น 1.7% จาก 1.79 ล้านล้านดอลลาร์ ในปีก่อนหน้า
การจัดอันดับโดย Fortune สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทที่เพิ่มขึ้นของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในฐานะภูมิภาคที่มีศักยภาพและความยืดหยุ่นในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของห่วงโซ่อุปทานโลกที่กำลังปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว เอสซีจีภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของพัฒนาการนี้ และจะยังคงมุ่งมั่นพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน เพื่อร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจภูมิภาคสู่อนาคต