เคพีเอ็มจี ประเทศไทย เผย ตลาด M&A ในไทยยังคงดำเนินต่อไป แม้นักลงทุนต้องเผชิญความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก

ประเด็นสำคัญ

Wednesday 25 June 2025 15:41
เคพีเอ็มจี ประเทศไทย เผย ตลาด M&A ในไทยยังคงดำเนินต่อไป แม้นักลงทุนต้องเผชิญความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก
  • ตลาดการควบรวมกิจการ (Mergers and acquisitions: M&A) ของไทย มีความซับซ้อนที่มากยิ่งขึ้น มีการใช้รูปแบบอัตราการชำระมูลค่ากิจการตามผลการดำเนินงานของผู้ขาย (earn-out) และโครงสร้างการควบรวมกิจการที่ซับซ้อน เพื่อบริหารจัดการความเสี่ยงและรับมือกับความไม่แน่นอนในปัจจุบัน
  • บริษัทต่างๆ ให้ความสำคัญกับการให้เวลาและการวางกลยุทธ์ทางธุรกิจร่วมกันก่อนการควบรวมกิจการมากขึ้น โดยการวางแผนธุรกิจร่วมกันอย่างรัดกุมและละเอียดรอบคอบ กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่ส่งผลให้การควบรวมกิจการประสบความสำเร็จด้วยดี
  • ผู้ตอบแบบสำรวจกว่าร้อยละ 84 วางแผนที่จะเข้าซื้อกิจการในประเทศไทยอย่างน้อยหนึ่งครั้งในอีก 5 ปีข้างหน้า และหนึ่งในสามของผู้ตอบแบบสำรวจเผยว่ามีแผนที่จะดำเนินการควบรวมกิจการอย่างน้อยสี่ครั้ง

เคพีเอ็มจี ประเทศไทย เผยรายงาน "Doing deals in Thailand 2025" ซึ่งเป็นผลสำรวจเชิงลึกเกี่ยวกับการควบรวมกิจการในประเทศไทย ผลการสำรวจแสดงให้เห็นว่าภูมิทัศน์ของตลาด M&A ในประเทศไทยนั้นได้พัฒนาไปสู่สภาพแวดล้อมที่มีความซับซ้อนและดำเนินการอย่างมีกลยุทธ์มากขึ้น ซึ่งช่วยเสริมศักยภาพให้ประเทศไทยพร้อมสำหรับการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจระดับโลกก็ตาม นักลงทุนและผู้ประกอบการต่างก็สามารถปรับตัวและรับมือกับโครงสร้างการควบรวมกิจการที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น เพื่อบริหารจัดการความเสี่ยงและส่งเสริมให้การควบรวมกิจการสำเร็จลุล่วง และยังคงให้ความสนใจในการควบรวมกิจการอย่างต่อเนื่อง

รายงาน "Doing Deals in Thailand 2025" เป็นการสำรวจภาพรวมตลาดการควบรวมและซื้อกิจการในประเทศไทยฉบับที่สอง ต่อเนื่องจากฉบับปฐมฤกษ์ที่จัดทำขึ้นในปี 2562 ซึ่งจัดทำขึ้นเพื่อติดตามแนวโน้มของตลาดที่เปลี่ยนแปลงตามเศรษฐกิจไทยที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง รายงานฉบับนี้ถ่ายทอดมุมมองของผู้ที่มีส่วนร่วมกับในการควบรวมกิจการ ที่กล่าวถึงโอกาส ความท้าทาย และกลยุทธ์ในการลงทุน ในช่วงหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยมีผู้ตอบแบบสำรวจจากหลากหลายสายงาน ได้แก่ การพัฒนาธุรกิจ การเงินและบัญชี การวิเคราะห์การลงทุน การวางแผนกลยุทธ์ขององค์กร และผู้บริหารระดับสูงจากหลายอุตสาหกรรม

ผลการสำรวจดังกล่าว ชี้ให้เห็นว่า ประเทศไทยยังคงมีสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการทำดีลควบรวมกิจการ แม้จะมีความซับซ้อนและความไม่แน่นอนมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ การเจรจาและการดำเนินการควบรวมกิจการใช้เวลานานขึ้น เนื่องจากนักลงทุนให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกอย่างครอบคลุมมากขึ้น โดยเกือบครึ่งหนึ่งของการควบรวมกิจการในปัจจุบันใช้เวลามากกว่าหนึ่งปี เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 38 ในปี 2562 ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า นักลงุทนมีการวิเคราะห์เกี่ยวกับความสอดคล้องเชิงกลยุทธ์ การวางแผนธุรกิจ และการตรวจสอบสถานะของกิจการ (due diligence) อย่างละเอียดรัดกุมมากขึ้นก่อนการตัดสินใจซื้อขายกิจการ

สำหรับปัจจัยที่ผลักดันให้เกิดการควบรวมกิจการนั้น ผลสำรวจยังเผยว่า แรงจูงใจหลักของดีลควบรวมกิจการในประเทศไทยกว่าสองในสาม มาจากความต้องการการขยายธุรกิจสู่ตลาดใหม่ มีเพียงร้อยละ 18 ที่มุ่งเน้นการเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาด และร้อยละ 16 ที่ต้องการต่อยอดธุรกิจด้วยการเข้าซื้อซัพพลายเออร์หรือลูกค้า แม้ว่าการตรวจสอบสถานะของกิจการทั้งด้านการเงิน ภาษี และกฎหมาย จะยังคงเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุด แต่ปัจจุบันการตรวจสอบดังกล่าวได้ขยายขอบเขต ให้ครอบคลุมการประเมินด้านการค้า การดำเนินงานในองค์กร ทรัพยากรบุคคล และเทคโนโลยีสารสนเทศ ในขณะเดียวกัน ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ก็เริ่มมีบทบาทเพิ่มมากขึ้น โดยร้อยละ 73 ของผู้ตอบแบบสำรวจ ให้ความสำคัญกับปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมในระดับปานกลางถึงสูง

ในส่วนแหล่งเงินทุนในธุรกรรมการควบรวมและซื้อกิจการ ผลสำรวจพบว่า เงินสดสำรองของบริษัทยังคงเป็นแหล่งเงินทุนหลัก ซึ่งสะท้อนถึงแนวทางการลงทุนที่รอบคอบรัดกุม ภายหลังยุคโควิด-19 ขณะเดียวกันก็เป็นสัญญาณชี้ให้เห็นว่าบริษัทต่างๆ ยังคงมีศักยภาพในการขยายลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ บทบาทของกองทุนสินเชื่อภาคเอกชน (private credit funds) ที่เพิ่มมากขึ้นในระดับภูมิภาคจะช่วยเสริมสภาพคล่องในตลาด และสร้างโอกาสให้เกิดการควบรวมกิจการ และการลงทุนที่มีโครงสร้างซับซ้อนได้มากขึ้นในหลากหลายอุตสาหกรรม

นายเอียน ธอร์นฮิลล์ หุ้นส่วน และหัวหน้าฝ่ายที่ปรึกษาการซื้อขายกิจการ เคพีเอ็มจี ประเทศไทย กล่าวว่า "สิ่งที่น่าสนใจที่สุดคือการที่ผู้นำธุรกิจสามารถรับมือกับความซับซ้อนที่เพิ่มขึ้น พร้อมทั้งปรับแนวทางในการดำเนินงานเพื่อให้สามารถขับเคลื่อนกลยุทธ์การควบรวมกิจการและการลงทุนได้อย่างต่อเนื่อง คณะผู้บริหารยังคงให้ความสำคัญกับการหาช่องทางให้องค์กรเติบโตต่อไป และการควบรวมและซื้อกิจการ ก็ยังคงเป็นแนวทางที่สำคัญที่สุดในการบรรลุเป้าหมายดังกล่าว" "ปัจจุบัน เราเห็นสภาพแวดล้อมการควบรวมและซื้อกิจการที่มีความซับซ้อนมากขึ้น รวมถึงการวิเคราะห์เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มอย่างรอบด้าน ด้วยเหตุนี้ เคพีเอ็มจีจึงได้พัฒนาแนวทางการทำงานแบบบูรณาการ ซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านกลยุทธ์และการปฏิรูปองค์กรเข้ามาทำงานร่วมกับลูกค้าอย่างใกล้ชิด เพื่อสนับสนุนกลยุทธ์การเติบโตตั้งแต่ก่อนเข้าสู่กระบวนการควบรวมกิจการ ไปจนถึงหลังจากที่ดีลเสร็จสิ้น เพื่อช่วยให้ลูกค้าสามารถรับมือกับความซับซ้อนและบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจที่วางไว้ได้"

โดยสรุปแล้ว ธุรกิจไทยมีความพร้อมอย่างยิ่งที่จะคว้าโอกาสจากการควบรวมกิจการที่ยังคงเติบโตอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยได้รับแรงสนับสนุนจาก การปรับโครงสร้างธุรกิจ การสร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ และการประเมินมูลค่ากิจการที่สมเหตุสมผลยิ่งขึ้นภายหลังจากที่ตลาดเริ่มมีเสถียรภาพ แม้จะต้องเผชิญกับการแข่งขันที่สูงขึ้นจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น อินโดนีเซีย เวียดนาม และมาเลเซีย ซึ่งเป็นจุดหมายการลงทุนที่น่าจับตามองในระดับภูมิภาค แต่ด้วยปัจจัยได้เปรียบทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ในภูมิภาคอาเซียน และคุณภาพของแรงงาน ทำให้ประเทศไทยยังคงสามารถดึงดูดความสนใจจากนักลงทุนได้ในหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นภาคการผลิต เทคโนโลยีสารสนเทศ สุขภาพ สินค้าอุปโภคบริโภค รวมถึงธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยแนวคิดด้านความยั่งยืน ซึ่งมีศักยภาพในการเติบโตในระยะยาว

สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถอ่านหรือดาวน์โหลดรายงานฉบับเต็ม "Doing Deals in Thailand 2025" ได้ที่: https://kpmg.com/th/en/home/insights/2025/06/doing-deals-in-thailand-2025.html

เคพีเอ็มจี ประเทศไทย เผย ตลาด M&A ในไทยยังคงดำเนินต่อไป แม้นักลงทุนต้องเผชิญความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก