ทั้งนี้ การมี อย. เครื่องสำอาง ถือเป็นหนึ่งกลยุทธ์สำคัญในการสร้างแบรนด์ ที่ช่วยเสริมภาพลักษณ์และสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้บริโภค เพราะการจดแจ้ง อย. เป็นการรับรองว่าผลิตภัณฑ์ได้ผ่านการตรวจสอบด้านความปลอดภัยตามมาตรฐานที่กำหนด โดยมุ่งเน้นที่ส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ว่าไม่มีสารอันตรายที่ต้องห้ามตามกฎหมาย
เปิดคุณภาพมาตรฐานและข้อควรระวังของ อย.
ภญ.ปริณดา เตชะศิรินุกูล เภสัชกรชำนาญการพิเศษ กลุ่มเครื่องสำอางใหม่และนวัตกรรม กองควบคุมเครื่องสำอางและวัตถุอันตราย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ให้ความรู้ในหัวข้อเรื่อง "คุณภาพมาตรฐาน ข้อควรระวังในสารห้ามใช้ในเครื่องสำอาง" ว่า มาตรฐานการกำกับดูแลผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางของแต่ละประเทศจะแตกต่างกัน ผู้ประกอบการจำเป็นต้องรู้ว่าประเทศที่จะนำสินค้าไปขายมีมาตรฐานอย่างไร โดยในประเทศไทยเครื่องสำอางเป็นวัตถุที่ต้องใช้กับภายนอกของร่างกายมนุษย์ รวมถึงใช้กับฟันและเยื่อบุในช่องปาก เพื่อความสะอาด สวยงาม หรืออาจจะมีการเปลี่ยนแปลงลักษณะที่ปรากฏได้ ซึ่งเกณฑ์ในการพิจารณามี 3 ด้านคือ 1. วิธีใช้ ต้องใช้กับร่างกายภายนอกของมนุษย์ 2. วัตถุประสงค์การใช้ ต้องใช้ทำความสะอาด บำรุง หรือสวยงาม เป็นต้น 3. สูตรส่วนประกอบ ต้องอยู่ในตำราเครื่องสำอาง
ก่อนทำการผลิตเครื่องสำอางออกสู่ตลาด ผู้ผลิต และผู้รับจ้างผลิต รวมถึงผู้นำเข้า ต้องจดแจ้งรายละเอียดของเครื่องสำอางต่อ อย. โดยใบรับจดแจ้งจะมีอายุ 3 ปี นับจากวันที่ออกใบรับจดแจ้ง ซึ่งการกำกับดูแลมุ่งเน้น 5 เรื่อง ได้แก่ 1. สารในเครื่องสำอาง อาทิ เป็นสารที่ใช้ได้หรือไม่ หรือมีเงื่อนไขการใช้อย่างไร 2. สิ่งต้องห้าม เช่น ห้ามใช้ภาชนะบรรจุที่เป็น Syringe, Ampoule, Vial หรืออยู่ในภาชนะบรรจุที่ใช้เครื่องมือประกอบในการผลักดันสารเข้าสู่ผิวหนัง 3.สถานที่และหลักเกณฑ์ โรงงานต้องมีมาตรฐานตามที่กำหนด 4.ฉลากเครื่องสำอาง 5.การโฆษณา
สำหรับการแจ้งสารในระบบจดแจ้งเครื่องสำอาง อย. ปัจจุบันมีตำราสากลที่ใช้อยู่ 2 แหล่ง ได้แก่ Cosing ของยุโรป (EU) ช่วยบอกว่าสารแต่ละตัวทำหน้าที่อะไร และเรื่องกฎหมาย มีความสอดคล้องกับกฎหมายของไทยประมาณ 90% สามารถใช้เป็นไกด์ไลน์ได้ ส่วนอีกตำราเป็น PCPC ของสหรัฐฯ ซึ่งต้องเป็นสมาชิกและเสียค่าธรรมเนียม เหมาะกับคนที่ทำวิจัยและพัฒนา (R&D) เพราะมีรายละเอียดของสารจำนวนมาก ตอบโจทย์เชิงพาณิชย์มากกว่า
ทั้งนี้ ประกาศของ อย. ที่ผู้ประกอบการต้องรู้ในการกำกับดูแลสารในเครื่องสำอางมีด้วยกัน 6 ประเภท ดังนี้ 1.สารห้ามใช้ 2.สารที่อาจใช้เป็นส่วนผสมฯ โดยใช้ได้ตามที่ อย. กำหนดเท่านั้น 3.สารกันเสีย มีการคุมปริมาณไม่ให้เกินกำหนด เพื่อความปลอดภัย 4.สารกันแดด เป็นสารที่ต้องกำกับดูแล 5.สี มีเงื่อนไขในการใช้ และ 6.กัญชา กัญชง นอกจากนี้ ยังมีเรื่องการปนเปื้อนโลหะหนักในผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป โดยโลหะหนักจัดเป็นสารห้ามใช้ในเครื่องสำอาง ยกเว้นการปนเปื้อนในผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปได้ในปริมาณที่กฎหมายกำหนด เนื่องจากอาจมีการปนเปื้อนมาจากวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตได้
โฆษณาถูกกฎหมาย ไม่ต้องเสี่ยงเสียค่าปรับ
ด้าน ภญ.รุ่งดารา เนียมโภคะ เภสัชกรชำนาญการพิเศษ กลุ่มเฝ้าระวังและการบังคับใช้กฎหมาย กองควบคุมเครื่องสำอางและวัตถุอันตราย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ให้ข้อมูลว่า การโฆษณาเครื่องสำอางไม่จำเป็นต้องขออนุญาต แต่ข้อความต้องไม่ฝ่าฝืนกฎหมาย โดยหลักการง่าย ๆ คือ อย่าเคลมให้เกินจริง โดยก่อนที่จะทำการโฆษณาผู้ประกอบการต้องรู้ 5 นิยาม ดังนี้
- เครื่องสำอาง: ใช้แค่ภายนอก ฟัน ช่องปาก เพื่อทำให้สะอาด สวยงาม ดูดี
- ข้อความ: การกระทำให้ปรากฏด้วยตัวอักษร ภาพ ภาพยนตร์ แสง เสียง เครื่องหมาย หรือการกระทำอย่างใด ๆ ที่ทำให้บุคคลทั่วไปสามารถเข้าใจความหมายได้
- โฆษณา: การกระทำใด ๆ ให้ประชาชนเห็น ได้ยิน หรือทราบ ข้อความเพื่อประโยชน์ทางการค้า
- สื่อโฆษณา: สิ่งที่ใช้เป็นสื่อในการโฆษณา เช่น หนังสือพิมพ์ สิ่งพิมพ์ วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ โทรศัพท์ สื่อออนไลน์ หรือป้าย
- ผู้โฆษณา: เจ้าของผลิตภัณฑ์หรือผู้ประกอบธุรกิจที่สั่งให้มีการโฆษณาและผู้ที่ได้รับประโยชน์โดยตรงจากการโฆษณานั้น
สำหรับกฎหมายและบทกำหนดโทษเกี่ยวกับการโฆษณาเครื่องสำอาง ตามพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ. 2558 หมวด 6 การโฆษณา ประกอบด้วย มาตรา 41 ห้ามโฆษณาหลอกลวง เกินจริง อ้างอิงรักษาโรค, มาตรา 42 ห้ามโฆษณาผิดศีลธรรม หรือรบกวนสังคม, มาตรา 43-45 เกี่ยวกับกรรมการฯ สั่งแก้ไข/ห้ามใช้ข้อความ/ให้พิสูจน์, มาตรา46 ขอความเห็นหากสงสัย และมาตรา 84 หากฝ่าฝืน จำคุกไม่เกิน 1 ปีหรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยหลักการโฆษณาเครื่องสำอางให้ถูกกฎหมาย ไม่ต้องเสี่ยงเสียค่าปรับทำได้ ดังนี้
๐ เป็นจริง ตรวจสอบได้ ตรงตามจดแจ้ง
๐ อยู่ในขอบข่ายของความเป็นเครื่องสำอาง
๐ การกล่าวอ้าง ต้องมีหลักฐาน งานวิจัย หนังสือรับรอง
๐ ไม่แฝงสรรพคุณยา ผิดศีลธรรม บำรุงทางเพศ
๐ ห้ามอ้างหมอ เว้นแต่เกี่ยวข้องจริง และมีเอกสารยืนยัน
สำหรับแนวทางการแสดงฉลากเครื่องสำอางให้ถูกต้องกฎหมาย โดยรายละเอียดข้อความบนฉลากตามประกาศคณะกรรมการเครื่องสำอาง เรื่องฉลากของเครื่องสำอาง พ.ศ. 2562 ประกอบด้วย
- ชื่อเครื่องสำอางและชื่อทางการค้าของเครื่องสำอาง ซึ่งต้องมีขนาดใหญ่กว่าข้อความอื่น
- ประเภทหรือชนิดของเครื่องสำอาง
- ชื่อของสารทุกชนิดที่ใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตเครื่องสำอาง ทั้งนี้ ต้องเรียงลำดับตามปริมาณของสารจากมากไปหาน้อย แต่ในกรณีสารที่ใช้มีปริมาณน้อย 1% สามารถสลับที่กันได้
- วิธีใช้
- ชื่อและที่ตั้งของผู้ผลิต กรณีเป็นเครื่องสำอางที่ผลิตในประเทศ หรือชื่อและที่ตั้งของผู้นำเข้า ชื่อผู้ผลิตและประเทศที่ผลิต กรณีที่เป็นเครื่องสำอางนำเข้า
- ปริมาณสุทธิ
- เลขที่หรืออักษรแสดงครั้งที่ผลิต
- เดือน ปี ที่ผลิต หรือ ปี เดือน ที่ผลิต
- เดือน ปี ที่หมดอายุ หรือ ปี เดือน ที่หมดอายุ
- คำเตือน (ถ้ามี) รายละเอียดการแสดงคำเตือนบนฉลาก ตามประกาศคณะกรรมการเครื่องสำอาง เรื่อง การแสดงคำเตือนที่ฉลาก
- เลขที่ใบรับจดแจ้ง