ยูนิลีเวอร์ ผู้นำตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคระดับโลกและนวัตกรรมดิจิทัล แสดงวิสัยทัศน์นวัตกรรมเพื่อความยั่งยืนบนเวทีเสวนา "Innovation for Sustainability" ร่วมกับเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ในงาน GCNT EXPO 2025 จัดโดยสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย ณ True Digital Park สุขุมวิท 101 เพื่อนำเสนอกลยุทธ์และแนวทางการใช้นวัตกรรมเพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ของสหประชาชาติ พร้อมเน้นย้ำความสำคัญของความร่วมมือระหว่างภาคธุรกิจเพื่อแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมและสังคมในโลกยุคปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความความท้าทายหลากหลายมิติ ตอกย้ำความมุ่งมั่นของผู้นำจากสองอุตสาหกรรมที่พร้อมสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในระยะยาวผ่านความร่วมมือกับทุกภาคส่วนอย่างเป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็นภาคธุรกิจ ภาครัฐ และภาคประชาสังคม
ยูนิลีเวอร์ได้นำเสนอความก้าวหน้าของการดำเนินงานด้านความยั่งยืนภายใต้เป้าหมายที่จะมุ่งสู่ Net Zero ในห่วงโซ่คุณค่าทั้งหมดภายในปี 2582 โดยล่าสุดสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในขอบเขต (Scope) ที่ 1 และ 2 ได้แล้วถึงร้อยละ 72 นับตั้งแต่ปี 2558 และตั้งเป้าหมายลดให้ได้ 100% ภายในปี 2573 พร้อมกันนี้ยังมุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในขอบเขตที่ 3 ซึ่งครอบคลุมกิจกรรมในห่วงโซ่อุปทานและการใช้ผลิตภัณฑ์ให้ได้ร้อยละ 42 และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมในภาคป่าไม้ ที่ดิน และเกษตรกรรมให้ได้ร้อยละ 30.3 ในปีเดียวกัน ทั้งยังมีกระบวนการจัดการบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืน โดยปัจจุบันร้อยละ 57 ของบรรจุภัณฑ์พลาสติกสามารถนำกลับมาใช้ซ้ำ รีไซเคิล หรือย่อยสลายได้ นอกจากนี้ ยูนิลีเวอร์ยังตั้งเป้าหมายให้ 85% ของผลิตภัณฑ์เป็นไปตามเกณฑ์โภชนาการที่อิงตามหลักวิทยาศาสตร์ภายในปี 2571 และเพิ่มยอดขายผลิตภัณฑ์จากพืช (Plant-based) ให้ได้ 1.5 พันล้านยูโรต่อปีภายในปี 2568 ควบคู่ไปกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีโซเดียมต่ำในไทยและอีกหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
นางสาวอภิพร อดุลย์พิจิตร ผู้อำนวยการด้านงานวิจัยและพัฒนาอาหาร กลุ่มประเทศเอเชีย (Greater Asia) บริษัท ยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย กล่าวว่า "ยูนิลีเวอร์มีเป้าหมายด้านความยั่งยืนเป็นส่วนสำคัญในจุดมุ่งหมายหลักขององค์กร (purpose) เรามองความท้าทายเป็นโอกาสในการพัฒนานวัตกรรมภายใต้แนวคิด 'Brighten Everyday Life for All' โดยมุ่งลงทุนด้าน R&D เพื่อพัฒนาบรรจุภัณฑ์ PCR (Post-Consumer Recycled) และเทคโนโลยีลดการใช้ทรัพยากรในกระบวนการผลิตอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ตอบโจทย์ทั้งผู้บริโภคและโลกของเรา ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงขึ้น การลดปริมาณน้ำตาล โซเดียม และไขมันทรานส์ หรือการส่งเสริมอาหารจากพืช นอกจากนี้ เรายังให้ความสำคัญกับการจัดหาวัตถุดิบอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะน้ำมันปาล์มที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน RSPO และการส่งเสริมเกษตรกรรายย่อยในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมถึงประเทศไทย เพื่อเชื่อมโยงเกษตรกรเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานอย่างเท่าเทียม รวมไปถึงการใช้โมเดล 'Behaviour Change' ผ่านแคมเปญผู้บริโภค เช่น Take-Back และ Refill Station พร้อมให้ข้อมูลโภชนาการและสิ่งแวดล้อมบนบรรจุภัณฑ์ เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมของผู้บริโภคในการดูแลโลกของเราร่วมกัน"
"แม้ยูนิลีเวอร์จะมีระบบนิเวศน์ภายในที่แข็งแกร่ง แต่ก็ไม่สามารถเดินไปได้เพียงลำพัง ความร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ จึงเป็นกุญแจสำคัญ ทั้งภาควิชาการ พันธมิตรทางธุรกิจ ตลอดจนลูกค้าและผู้บริโภค เช่น โครงการเกษตรฟื้นฟู ที่ดูแลทั้งความเป็นอยู่และระบบนิเวศน์ของเกษตรกร หรือแนวทางการจัดการน้ำตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ซึ่งเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญของการสร้างห่วงโซ่อาหารที่ยั่งยืน" นางสาวอภิพร กล่าวเพิ่มเติม
เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ได้นำเสนอวิสัยทัศน์และกลยุทธ์สู่ความยั่งยืน โดยมีเป้าหมายหลัก 3 ด้าน ได้แก่ Carbon Neutral ภายในปี 2573, Net Zero ภายในปี 2593, Zero Waste ภายในปี 2573 และลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมผ่านการส่งเสริมการศึกษา พร้อมแนวทางเร่งด่วน 6 ข้อสำหรับการปรับตัว ได้แก่ การปรับธุรกิจใหม่ สร้างความยืดหยุ่นห่วงโซ่อุปทาน สร้างพันธมิตรทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี ยกระดับ Digital Literacy การจัดการทรัพยากรอย่างรับผิดชอบ และยึดมั่นหลักสากล
ดร.ธีระพล ถนอมศักดิ์ยุทธ ประธานคณะผู้บริหารด้านความยั่งยืนองค์กร และการพัฒนากลยุทธ์ เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) กล่าวว่า "โลกเผชิญความท้าทายใหญ่ทั้งความมั่นคงทางอาหาร ไมโครพลาสติก ภาวะโลกร้อน และการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ จึงต้องการ "Game Changer" อย่าง AI และนวัตกรรม โดยเน้นว่า AI ต้องเป็น "เครื่องมือเพิ่มพลัง" ที่ต้องขยายใช้อย่างรวดเร็ว พร้อม 4 แนวทางสำคัญสำหรับผู้นำองค์กร คือ ขยับเร็ว-ขยายไว, ปรับโครงสร้างองค์กรรองรับ AI, พัฒนาทักษะ AI และทำงานร่วมกับ AI อย่างมีคุณค่า ซึ่ง AI จะช่วยเร่งให้เป้าหมาย Net Zero, Zero Waste และลดความเหลื่อมล้ำเป็นจริงได้"
ในโอกาสนี้ ทั้งสององค์กรยังได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการลงทุนด้านนวัตกรรมและงานวิจัย โดยยูนิลีเวอร์มีศูนย์นวัตกรรม 6 แห่งทั่วโลก และศูนย์ออกแบบระดับภูมิภาคอีก 12 แห่ง เพื่อพัฒนาบรรจุภัณฑ์ PCR และเทคโนโลยีลดการใช้ทรัพยากร ขณะที่เครือซีพีปรับใช้เทคโนโลยีสะอาดและระบบรีไซเคิลในโรงงาน ซึ่งการเสวนาครั้งนี้ยังได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคประชาสังคม ในการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน