นายวราวุธ กล่าวว่า วิกฤตโครงสร้างประชากร หรือ Demographic crisis นั้น เป็นเรื่องที่ใกล้ตัวมากแต่เรามักจะไม่ค่อยตระหนักถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ปัจจุบันประชากรของโลกมีแนวโน้มที่จะลดลงอย่างต่อเนื่อง ประเทศไทยมีประชากรลดลงอย่างชัดเจน และเป็นประเทศที่เป็นสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์แล้วตั้งแต่ปี 2566 และจะกลายเป็นสังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอด เช่นเดียวกับประเทศญี่ปุ่นภายในอีกไม่ถึง 10 ปีข้างหน้า นอกจากนี้อัตราการเกิดของเด็กยังต่ำกว่าอัตราการตาย และเด็กยังมีคุณภาพและผลิตภาพที่ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น จึงไม่สามารถที่จะเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในอนาคตได้อย่างเต็มที่ ด้วยสภาพเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบันที่ส่งผลกระทบต่อความยากลำบากในการดำเนินชีวิต จึงทำให้คนจำนวนมากไม่อยากมีครอบครัว ไม่อยากมีลูก เพราะไม่อยากมีภาระ ซึ่งสะท้อนถึงสถาบันครอบครัวที่กำลังอ่อนแอลง ในขณะที่คนวัยทำงานต้องกลายเป็น "เดอะแบก" คือ ต้องดูแลตัวเอง และหากมีลูก ต้องดูแลลูก และยังต้องดูแล พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยายอีก ทั้งยังมีความเสี่ยงที่อาจจะตกงาน อันเนื่องมาจากการใช้เทคโนโลยีต่างๆ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาแทนการใช้แรงงานด้วย
ส่วนวิกฤตสภาพภูมิอากาศ หรือ Climate Crisis นั้นเกิดจากภาวะโลกร้อน ซึ่งประเทศไทยเคยอยู่ในอันดับต้นๆ ของโลกที่มีความเสี่ยงต่อผลกระทบจากโลกร้อน แต่ในปีนี้ เราถูกประเมินไว้ที่อันดับที่ 30 ของโลก ซึ่งไม่ได้หมายความว่า ประเทศไทยมีความเสี่ยงน้อยลง แต่เพราะว่ามีหลายประเทศที่ยังไม่มีการเตรียมการและการปรับตัวต่อผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ในขณะที่เรามีการจัดทำแผนระยะยาว มีแผนการปรับตัวต่อผลกระทบด้วย แต่ในมุมมองของความมั่นคงของมนุษย์เกิดความสั่นคลอนอย่างมาก เมื่อเกิดภาวะโลกร้อนส่งผลให้เกิดความรุนแรงและความถี่ของการเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ อาทิ อุทกภัย วาตภัย หรือภัยแล้ง สร้างความเสียหายในวงกว้างทั้งชีวิต บ้านเรือน ทรัพย์สิน สาธารณูปโภค และที่ดินทำกิน โดยเฉพาะประชาชนกลุ่มเปราะบาง ที่เป็นคนกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด และมีข้อจำกัดอย่างมากในการปรับตัวต่อการเผชิญกับวิกฤตต่างๆ
ดังนั้นการเตรียมความพร้อมรับมือและการจัดการ "วิกฤตซ้อนวิกฤต: โครงสร้างประชากรและสภาพภูมิอากาศ" หลายประเทศ อาทิ ประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ที่ต้องเผชิญกับวิกฤตซ้อนวิกฤตเช่นเดียวกับประเทศไทย ได้มีการเตรียมรับมือทั้งในเรื่องของนโยบายและโครงสร้างพื้นฐาน ด้าน การคมนาคม ระบบสาธารณสุขและสวัสดิการของรัฐ ระบบการเตือนภัย เทคโนโลยีอำนวยความสะดวกในการดำเนินชีวิต และที่สำคัญ คือ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้รู้เท่าทันกับสถานการณ์วิกฤตที่กำลังเผชิญอยู่และเตรียมความพร้อมรับมือทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม สำหรับประเทศไทย เรื่องวิกฤตซ้อนวิกฤตดังกล่าว อาจจะเป็นเรื่องที่เรายังไม่คุ้นเคย หรือยังไม่ตระหนักถึงมหันตภัยมากนัก แต่เราพยายามที่จะมองถึงความเชื่อมโยง การประเมินสถานการณ์ และการจัดทำนโยบายเพื่อรองรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้น
