ที่ผ่านมา สถาบันโภชนาการ ม.มหิดล ได้พัฒนาฐานข้อมูลคุณค่าทางโภชนาการ (Food Composition Data Table) อย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2530 ส่วนใหญ่เป็นการรวบรวมข้อมูลคุณค่าทางโภชนาการของวัตถุดิบ เช่น พืชผลทางการเกษตรฯ และอาหารปรุงสุก ขณะที่ข้อมูลโภชนาการของผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มในภาชนะบรรจุยังมีอยู่อย่างจำกัด และมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมการบริโภคในปัจจุบัน ที่ผู้บริโภคพึ่งพาอาหารแปรรูปในชีวิตประจำวันมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ สถาบันโภชนาการจึงเห็นความจำเป็นในการเพิ่มขีดความสามารถของฐานข้อมูลในปัจจุบัน ให้ครอบคลุมผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มในภาชนะบรรจุด้วย
รศ.ดร.ชลัท ศานติวรางคณา กล่าวว่า "ฐานข้อมูลชุดใหม่นี้ จะเข้ามาเติมเต็มช่องว่างด้านข้อมูลโภชนาการของผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มในภาชนะบรรจุ ซึ่งมีความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการทำงานด้านสาธารณสุข โดยจะช่วยให้สามารถ ประเมิน-ภาวะโภชนาการได้อย่างละเอียดและแม่นยำขึ้น วิเคราะห์ปริมาณสารอาหารที่ได้รับจากการบริโภค ติดตาม-พฤติกรรมการบริโภค เพื่อปรับแนวทางการดูแลสุขภาพ หรือการรักษาให้เหมาะสม ดูแล-ภาวะโภชนาการแบบองค์รวมทั้งการป้องกัน (Preventive Care) ดูแลตัวเอง (Self-Care) และสนับสนุนการรักษาโดยแพทย์ (Medical care) รวมถึงใช้เป็นข้อมูลในการพัฒนาเมนูอาหาร เพื่อให้ดีต่อสุขภาพมากขึ้น"
ทั้งนี้ ฐานข้อมูลดังกล่าวจะเปิดให้ประชาชนเข้าถึงได้ โดยเฉพาะนักวิชาการด้านสาธารณสุข นักวิจัย และผู้พัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร สามารถนำไปใช้ในการประเมินภาวะโภชนาการ วางแผนการจัดอาหารสำหรับผู้ป่วย หรือปรับปรุงสูตรอาหารให้มีคุณค่ามากยิ่งขึ้น และผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพ สามารถนำข้อมูลไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในการดูแลสุขภาพตนเอง และการป้องกันโรค ซึ่งเป็นกระแสสุขภาพที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน
ด้านสภาอุตฯ ดร. ทองดี ปาโส เปิดเผยว่า "ปัจจุบันบริษัทผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มชั้นนำที่สนใจเข้าร่วมโดยสมัครใจ เช่น ซีพีเอฟ, ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์, อายิโนะโมะโต๊ะ, เป๊ปซี่โค, โคคา-โคล่า, ที.ซี. ฟาร์มาซูติคอล เป็นต้น ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการ สร้างฐานข้อมูลชุดนี้ โดยในระยะแรกจะมุ่งเน้นที่ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภค ก่อนจะขยายไปยังสินค้ากลุ่มอื่นๆ ต่อไป"การผนึกกำลังครั้งนี้เป็นตัวอย่างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน (Public-Private Partnerships - PPPs) ที่เล็งเห็นประโยชน์ร่วมกันในการดูแลสุขภาพของผู้บริโภค โดยมีสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเป็นตัวแทนภาคเอกชนที่เข้ามาสนับสนุนแลกเปลี่ยนข้อมูลผลิตภัณฑ์อาหาร ขณะที่สถาบันโภชนาการจะทำหน้าที่รวบรวม วิเคราะห์ และเผยแพร่ข้อมูล เพื่อสร้างฐานข้อมูลโภชนาการที่โปร่งใส ทันสมัย สอดคล้องกับสถานการณ์การบริโภค และเป็นประโยชน์ต่อการดูแลสุขภาพของประชาชนอย่างยั่งยืน