- ภูมิภาคอาเซียนกำลังดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment: FDI) มากขึ้น ในฐานะจุดหมายปลายทางการลงทุนอันดับต้นๆ ของโลก
- อย่างไรก็ตาม บทบาทของอาเซียนนี้อาจได้รับผลกระทบจากข้อเรียกร้องของรัฐบาลทรัมป์ที่ต้องการให้ประเทศคู่ค้า ซึ่งเป็นนักลงทุนรายสำคัญของอาเซียน ไปลงทุนในสหรัฐฯ แทน
- ธนาคารเอชเอสบีซีคาดว่าความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของอาเซียน และความพยายามกระจายการลงทุนของประเทศจีนจะยังคงเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ FDI ไหลเข้าสู่อาเซียนอย่างต่อเนื่อง
*ความพยายามของรัฐบาลสหรัฐฯ ในการดึงดูด FDI เพื่อเปลี่ยนทิศทางการลงทุนโลก*
อาเซียนเป็นดาวเด่นในเรื่องการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ ทั้งนี้ การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่เข้ามาในอาเซียน มีมูลค่าถึง 2.26 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2567 ซึ่งสูงสุดเป็นอันดับสองในประวัติศาสตร์ รองจากปี 2565 ที่มีมูลค่าเกือบ 2.31 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยเงินลงทุนในภูมิภาคนี้เพิ่มขึ้น 8.5% ซึ่งสูงกว่าทั่วโลกที่ FDI เพิ่มขึ้นเพียง 3.7% อย่างไรก็ดี สำนักงานสหประชาชาติด้านการค้าและการพัฒนา (UNCTAD) ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลหลักเรื่อง FDI มักจะไม่นับรวมเงินที่ไหลผ่านประเทศกลางในยุโรปบางประเทศ [1] เมื่อตัดข้อมูลส่วนนี้ออก จะพบว่าFDI ทั่วโลกลดลง 11% ทั้งในปี 2566 และ 2567 แผนภูมิ 1 ชี้ให้เห็นว่าปีหลังโควิด FDI ในอาเซียนกับภูมิภาคอื่นทั่วโลกแตกต่างกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่FDI ในอาเซียนเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าตั้งแต่ปี 2555 แต่ FDI ทั่วโลกกลับลดลงใกล้ระดับปี 2555 แสดงให้เห็นว่าอาเซียนดึงดูดเงินลงทุนได้ดีกว่าที่อื่นในโลกมาก
อย่างไรก็ตาม ทิศทางการลงทุนโลกอาจเปลี่ยนไป เนื่องจากรัฐบาลภายใต้การนำของทรัมป์ได้ทำข้อตกลงการค้ากับหลายประเทศ โดยให้ประเทศเหล่านั้นลงนามว่าจะนำเงินหลายพันล้านดอลลาร์ไปลงทุนในสหรัฐฯ นอกจากนั้น รัฐบาลสหรัฐฯ ยังต้องการให้บริษัทอเมริกันย้ายฐานโรงงานการผลิตกลับไปตั้งยังสหรัฐฯ อีกด้วย ทั้งนี้ หากข้อตกลงเหล่านี้เป็นจริง เม็ดเงินที่เคยนำมาลงทุนในอาเซียนอาจถูกโยกไปลงทุนในสหรัฐฯ แทน โดยประมาณการว่าราว 40% ของแหล่งเงินลงทุน FDI ในอาเซียน อาจได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้ แต่ข่าวดีสำหรับอาเซียน คือ การบังคับให้บริษัทเอกชนย้ายฐานการลงทุนนั้นไม่ง่ายเช่นที่เห็นในข่าว เพราะสหรัฐฯ เองก็มีปัญหาด้านการผลิตหลายประการที่ทำให้การย้ายฐานโรงงานกลับประเทศไม่ใช่เรื่องง่าย ทั้งนี้ แม้อนาคตจะไม่แน่นอน แต่เราเชื่อว่าอาเซียนจะสามารถผ่านพ้นปัญหานี้ไปได้ และจะยังคงดึงดูด FDI ได้อย่างแข็งแกร่งต่อไป
FDI ทั้งหมดที่หลั่งไหลเข้ามาสู่อาเซียนทะลุ 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 2564 และยังคงอยู่เหนือระดับนี้เรื่อยมา โดยอัตราส่วน FDI ต่อ GDP เพิ่มขึ้นเป็น 6% ในช่วงปี 2565-2567 (แผนภูมิที่ 2) เพิ่มขึ้นจาก 5% ในช่วงปี 2560-2562 ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงกว่าสหรัฐฯ ซึ่งมีเพียง 1% อย่างมาก แม้สหรัฐฯ จะเป็นประเทศที่ได้มีเม็ดเงินลงทุนต่างชาติเข้ามาในประเทศมากที่สุดในโลกก็ตาม นี่แสดงให้เห็นว่าเงินลงทุนจากต่างชาติสำคัญต่อเศรษฐกิจอาเซียนมากแค่ไหน
แม้สหรัฐฯ จะยังคงเป็นประเทศที่นำเม็ดเงินลงทุนเข้าสู่อาเซียนสูงสุดเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ แต่ในปี 2567 แม้เม็ดเงินการลงทุนจากสจากสหรัฐฯ มายังอาเซียนจะยังคงเป็นอันดับหนึ่ง แต่ก็ลดลงครึ่งหนึ่งจากปีก่อนหน้า แต่อย่างไรก็ตาม เม็ดเงินลงทุนจากสหรัฐฯ ที่ลดลงนั้น ก็รับการชดเชยคืนมาจากเม็ดเงินการลงทุนจากประเทศอื่น ๆ ที่เข้าสู่อาเซียน ได้แก่ สหราชอาณาจักร การลงทุนระหว่างประเทศอาเซียนด้วยกัน ญี่ปุ่น ไต้หวัน และเกาหลี ตามลำดับ
อาเซียนมีเม็ดเงินการลงทุนจากหลายประเทศ ทั้งจากอเมริกาเหนือ ยุโรป และเอเชีย แต่ด้วยการกลับมาเป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ของทรัมป์ ทำให้อาเซียนอาจต้องแข่งขันกับสหรัฐฯ ซึ่งเป็นประเทศที่มาลงทุนในอาเซียนเป็นอันดับหนึ่งเพื่อดึงดูดเม็ดเงินลงทุน ทั้งนี้ ในข้อตกลงทางการค้าเดือนกรกฎาคม รัฐบาลสหรัฐฯ ได้รับคำมั่นจากสหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และเกาหลีว่าจะเอาเงินลงทุนรวม 1.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ไปลงทุนในสหรัฐฯ ซึ่งการลงทุนรวมจากทั้ง 3 ประเทศนี้คิดเป็น 21% ของเม็ดเงินการลงทุนต่างชาติในอาเซียนในปี 2567เลยทีเดียว
นอกจากนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ ยังใช้มาตรการกำแพงภาษีและสิทธิประโยชน์ทางภาษี เพื่อจูงใจให้บริษัทอเมริกันย้ายฐานการผลิตกลับสหรัฐฯ ซึ่งหากเป็นจริง การลงทุนของสหรัฐฯ ในอาเซียนก็อาจลดลง เพราะสหรัฐฯ เพียงประเทศเดียวก็ลงทุนในอาเซียน 19% ของมูลค่ารวมทั้งหมดอีกทั้ง สหรัฐฯ ยังลงทุนมากขึ้นในอาเซียนช่วงปี 2565-2567 เมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิดอีกด้วย
แม้สถานการณ์นี้อาจทำให้ FDI ในอาเซียนลดลง แต่มีเหตุผลหลายประการที่ทำให้ไม่ควรกังวลเกินไปกับแผนของรัฐบาลภายใต้การบริหารของทรัมป์ โดยนักวิเคราะห์หลายท่านชี้ให้เห็นว่า รัฐบาลไม่สามารถบังคับบริษัทเอกชนให้ลงทุนได้ (The Japan Times, 24 กรกฎาคม) นอกจากนั้น เจ้าหน้าที่สหภาพยุโรปได้กล่าวว่า เงินลงทุนจะมาจากภาคเอกชนทั้งหมด ซึ่งรัฐบาลไม่มีอำนาจควบคุม (Politico, 28 กรกฎาคม) ดังนั้น เงินลงทุนจริงที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ อาจน้อยกว่าที่รัฐบาลสหรัฐฯ คาดหวัง
นอกจากนี้ การขยายหรือย้ายฐานโรงงานการผลิตในสหรัฐฯ ไม่ใช่เรื่องง่าย ซึ่งจากการสำรวจของ CNBC ในเดือนเมษายน กับธุรกิจสหรัฐฯ 380 แห่งพบว่า ต้นทุนที่สูงเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดในการย้ายห่วงโซ่อุปทานมาสหรัฐฯ, 21% บอกว่าการหาแรงงานที่มีความสามารถเป็นเรื่องยาก และราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้นเพราะภาษีนำเข้า ก็เป็นอุปสรรคการย้ายฐานโรงงานการผลิตกลับประเทศ
อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีนักลงทุนต่างชาติอื่นๆ อีก 60% ในอาเซียน ซึ่งเราเชื่อว่าเม็ดเงินลงทุนจากจีนยังไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่องและแข็งแกร่ง (แผนภูมิ 5) เพราะอาเซียนมีบทบาทสำคัญในโครงการ "หนึ่งแถบและหนึ่งเส้นทาง" (Belt and Road Initiative: BRI) ของจีน ตลอดจนบริษัทจีนต้องการกระจายความเสี่ยงโดยการลงทุนในหลากหลายภูมิภาค (อ้างอิงจากบทความ Belt and Road Initiative: Forging a new path, 3 September; China's outward direct investment: How trade tensions complicate outlook, 30 May)
นอกจากนี้ ยังเห็นได้จากการเติบโตของเม็ดเงินการลงทุนจากไต้หวันเพิ่มขึ้นอย่างน่าทึ่งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดย FDI จากไต้หวันเพิ่มขึ้นกว่า 200% จากช่วงปี 2560-2562 เทียบกับในช่วงปี 2565-2567 ทั้งนี้ แม้ดูจากภาพรวมแล้วตัวเลขอาจยังไม่สูงมากนัก แต่การลงทุนที่เพิ่มขึ้นนี้เกิดขึ้นพร้อมกับ "นโยบายมุ่งใต้ใหม่" (New Southbound Policy - NSP) ของไต้หวันที่เริ่มขึ้นในปี 2559 และการที่บริษัทไต้หวันย้ายฐานโรงงานการผลิตออกจากจีน เพื่อตอบสนองต่อมาตรการภาษีนำเข้าสหรัฐฯ
ท้ายที่สุดแล้ว อาเซียนยังมีปัจจัยดึงดูดในการลงทุนที่แข็งแกร่ง เราเชื่อมั่นว่าอาเซียนจะยังคงรักษาความสามารถในการแข่งขันในฐานะจุดหมายการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศของโลกได้ดังที่เราเคยวิเคราะห์ในรายงานเผยบทวิเคราะห์เศรษฐกิจมาเลเซีย (Malaysia Economics Comment: It's all relative - 1 สิงหาคม) และบทวิเคราะห์เศรษฐกิจเวียดนาม (Vietnam at a glance: It's a long way - 4 สิงหาคม) เพราะภูมิภาคนี้มีการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีอย่างแข็งขันทำให้การค้าเปิดกว้างขึ้น ตลาดผู้บริโภคเองก็เติบโตอย่างต่อเนื่อง และเศรษฐกิจดิจิทัลก็กำลังขยายตัวอย่างแข็งแรง โอกาสในการลงทุนในภูมิภาคนี้จึงไม่ได้จำกัดแค่การผลิต แต่ครอบคลุมหลายภาคส่วนด้วยกัน
หมายเหตุ: [1] หลายประเทศในยุโรป เช่น ไอร์แลนด์ ลักเซมเบิร์ก เนเธอร์แลนด์ และสวิตเซอร์แลนด์ มีการเคลื่อนย้ายเงินทุนผ่านระบบการเงินที่ผันผวนมาก ซึ่งส่งผลต่อการเก็บสถิติ FDI พอสมควร