นิทรรศการสะท้อนคุณค่าหลักของเส้นทางสายไหม ได้แก่ ความร่วมมืออย่างสันติ ความเปิดกว้างและการยอมรับ การเรียนรู้ร่วมกัน และการแบ่งปันประโยชน์ร่วมกัน ตอกย้ำถึงความสำคัญของการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมในทุกยุคสมัย รวมถึงการตระหนักถึงความสำคัญของการเรียนรู้ระหว่างอารยธรรม พร้อมทั้งสนับสนุนวิสัยทัศน์ของมาเก๊าในฐานะแพลตฟอร์มแห่งการแลกเปลี่ยนและความร่วมมือที่ซึ่ง "วัฒนธรรมจีนเป็นแกนหลักที่เคียงคู่กับความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่ดำรงอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืน"
พิพิธภัณฑ์ที่เชื่อมโลกตะวันออกและตะวันตก
ตั้งแต่เปิดให้บริการในเดือนพฤศจิกายน 2024 พิพิธภัณฑ์ POLY MGM ได้มุ่งเน้นการจัดแสดงโบราณวัตถุและผลงานศิลปะจากประเทศและภูมิภาคในโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road) ด้วยแนวทางการจัดนิทรรศการที่สร้างสรรค์และการออกแบบพื้นที่ที่ยืดหยุ่น พิพิธภัณฑ์ได้ผสานองค์ความรู้เชิงวิชาการ การมีส่วนร่วมทางการศึกษา การแสดงออกทางศิลปะ ความบันเทิง และการมีส่วนร่วมได้อย่างลงตัว จนกลายเป็นแลนด์มาร์กทางวัฒนธรรมในเขตเศรษฐกิจพิเศษอ่าวกวางตุ้ง-ฮ่องกง-มาเก๊า (Greater Bay Area) และเป็นสะพานเชื่อมวัฒนธรรมระหว่างตะวันออกและตะวันตกที่สำคัญอย่างยิ่ง
สี่บทนิทรรศการหลัก:บทสนทนาข้ามพันปี
นิทรรศการถ่ายทอดผ่าน 4 พื้นที่ธีมหลัก เพื่อนำเสนออย่างเป็นระบบถึงประวัติศาสตร์ของการแลกเปลี่ยน ความสำเร็จของการผสมผสานวัฒนธรรม และวิสัยทัศน์อนาคตของเส้นทางสายไหม
- ฝ่าทรายและสายลม (Through Sand and Wind) เล่าถึงการเดินทางของบรรพชนผู้บุกเบิกเส้นทางสายไหมโบราณ และบทบาทสำคัญของการค้าขายและการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ช่วยรักษาความรุ่งเรืองของเส้นทางนี้มายาวนานหลายพันปี
- สายใยทองคำ (Gilded Threads) นำเสนอวัฒนธรรมเชิงวัตถุ ทั้งงานทอผ้าไหม เครื่องเคลือบ เครื่องเขิน เครื่องโลหะ เครื่องแก้ว และเครื่องลงยาสี ซึ่งส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกัน และมีบทบาทสำคัญในการหล่อหลอมวิถีชีวิตประจำวันของอารยธรรมตะวันออกและตะวันตก
- กิ่งทองแห่งเส้นทางสายไหม (The Golden Bough) ถ่ายทอดการบูรณาการทั้งด้านจิตวิญญาณและความงามทางศิลปะของเส้นทางสายไหมผ่านภาพ ประติมากรรม และดนตรีผสานกับการสะท้อนเชิงปรัชญาที่ปรากฏในคัมภีร์และวรรณกรรมคลาสสิก เพื่อเผยให้เห็นถึงบทบาทอันลึกซึ้งของเส้นทางสายนี้ในการสร้างบทสนทนาและความเข้าใจระหว่างมนุษยชาติที่ล้ำลึก
- ถนนสู่อนาคต (Road to the Future) เชิญชวนให้ค้นพบว่ามรดกทั้งด้านวัตถุและจิตวิญญาณของเส้นทางสายไหมได้หล่อหลอมและเกื้อหนุนศิลปะร่วมสมัยอย่างไร อีกทั้งยังเป็นพลังสำคัญในการสร้างอนาคตของโลกที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความไว้วางใจซึ่งกันและกัน การค้าขายที่เชื่อมโยงถึงกัน และความเข้าใจระหว่างวัฒนธรรมต่างๆ
มหากาพย์อารยธรรม: จากการบุกเบิกสู่การข้ามพรมแดน (From "Trailblazing" to "Beyond Borders": A Civilizational Epic)
- ก้าวสำคัญด้านโบราณวัตถุนิทรรศการครั้งนี้นำเสนอสมบัติล้ำค่าจากสถาบันระดับนานาชาติเป็นครั้งแรก อาทิ พิพิธภัณฑ์แห่งชาติดามัสกัส ประเทศซีเรีย (National Museum of Damascus, Syria) และพิพิธภัณฑ์เส้นทางสายไหมฮิรายามะ อิคุโอะ ประเทศญี่ปุ่น (Hirayama Ikuo Silk Road Museum, Japan) พร้อมการวางแผนจัดแสดงเพิ่มเติมจากประเทศโปรตุเกส ฝรั่งเศส และอีกหลายประเทศในอนาคต การจัดแสดงผลงานจากต่างประเทศเหล่านี้ช่วยเสริมและเชื่อมโยงโบราณวัตถุชิ้นเอกจากสถาบันทางวัฒนธรรมชั้นนำของจีนเกือบ 20 แห่ง รวมถึงพิพิธภัณฑ์พระราชวัง (Palace Museum) และพิพิธภัณฑ์แห่งชาติจีน (National Museum of China) เพื่อสร้างสรรค์นิทรรศการในระดับโลกอย่างแท้จริง
- การตีความค่านิยมของเส้นทางสายไหมในยุคปัจจุบันนิทรรศการนำเสนอผลงานของศิลปินหลายรุ่น รวมถึง จางซู่หง (Chang Shuhong) จิตรกรผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็น "ผู้พิทักษ์ตุนหวง" "guardian of Dunhuang" และ จางซาน่า (Chang Shana) บุตรสาวของเขา เพื่อสะท้อนถึง 80 กว่าปีแห่งความมุ่งมั่นในการอนุรักษ์ศิลปะตุนหวง (Dunhuang art) นอกจากนี้ยังมีการจัดแสดงเครื่องดนตรีโบราณของเส้นทางสายไหม อาทิ พิณหัวนกฟีนิกซ์ (phoenix-headed konghou), ผีผาห้าสาย (five-string pipa), และผีผา rebounding (rebounding pipa) ซึ่งได้รับการบูรณะอย่างประณีตผ่านงานวิจัยหลายปีโดย ตั้นตุน (Tan Dun) นักดนตรีจีนชื่อดังระดับโลก เครื่องดนตรีเหล่านี้ถูกจับคู่กับบทประพันธ์ซิมโฟนีร่วมสมัยเพื่อฟื้นฟู "เสียงแห่งเส้นทางสายไหม" ให้ผู้ชมในยุคปัจจุบันได้สัมผัสอย่างเต็มอารมณ์
- เที่ยวพิพิธภัณฑ์ยามค่ำคืนแบบอิมเมอร์ซีฟ นิทรรศการใช้การแสดงสดเป็นสื่อทางวัฒนธรรม เพื่อนำเรื่องราวของเส้นทางสายไหมให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง รวมทั้งผสมผสานระหว่างการจำลองเหตุการณ์จริงและการจัดแสดงโบราณวัตถุ การเที่ยวพิพิธภัณฑ์ยามค่ำคืนนี้จะมอบประสบการณ์พิเศษที่ให้ผู้ชมเดินทางย้อนเวลาเพื่อค้นพบเรื่องราวอันอุดมสมบูรณ์ของอารยธรรมเส้นทางสายไหมผ่านประสบการณ์ที่เหนือกาลเวลา
ย้อนรอยกำเนิดเส้นทางสายไหม การเดินทางเริ่มขึ้นในปี 138 ก่อนคริสต์ศักราช เมื่อนักสำรวจชาวจีนจางเฉียนที่เดินทางพร้อมกับตราประทับของจักรพรรดิ ได้เปิดเส้นทางการทูตสู่เอเชียกลางและตะวันตก และก่อตั้งหลักการ "การแลกเปลี่ยนสิ่งที่จำเป็นต่อกัน" ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เหตุการณ์สำคัญนี้ถูกบันทึกไว้ในสำนักบันทึกประวัติศาสตร์ฉบับย่อ (Records of the Grand Historian) ซึ่งถือเป็นเล่มแรกในชุดยี่สิบสี่ประวัติศาสตร์ของจักรวรรดิ์จีน ต่อมาในปี 2014 เส้นทางสายไหม: ช่องทางฉางอัน-เทียนซาน ได้รับการเสนอชื่อร่วมโดยประเทศจีน คาซัคสถาน และคีร์กีซสถาน ได้รับการขึ้นทะเบียนในบัญชีมรดกโลก นับเป็นการเสนอชื่อข้ามชาติครั้งแรกของโลกที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก
ในปีนี้พิพิธภัณฑ์ POLY MGM นำเสนอเส้นทางการแลกเปลี่ยนอารยธรรมตามเส้นทางสายไหมโบราณผ่านนิทรรศการ "Silk Roads Beyond Borders" ซึ่งจัดแสดงสมบัติล้ำค่าจากพิพิธภัณฑ์ต่างๆ และโบราณวัตถุที่สำคัญ เช่น
- ขบวนรถม้าและนักรบขี่ม้าโลหะบรอนซ์ จากพิพิธภัณฑ์มณฑลกานซู่ (Bronze Procession of Chariots and Cavalry from Gansu Provincial Museum)
- ขวดแก้วสีน้ำเงินทรงแปดเหลี่ยมสมัยยุคราชวงศ์หย่งเจิ้ง จากพิพิธภัณฑ์พระราชวัง (Yongzheng Period Octagonal Blue Glass Bottle from the Palace Museum)
- ขวดเซรามิกสีขาว-น้ำเงิน จากพิพิธภัณฑ์แห่งชาติดามัสกัส (A blue-and-white Ceramic Bottle from the National Museum of Damascus)
- พระพุทธรูปคันธาระ จากพิพิธภัณฑ์เส้นทางสายไหมฮิรายามะ อิคุโอะ (A Gandhara Buddha statue from the Hirayama Ikuo Silk Road Museum)
- พิณหัวนกฟีนิกซ์ที่ได้รับการบูรณะโดย ตั้นตุน (A phoenix-headed konghou restored by Tan Dun)
- ภาพจิตรกรรมฝาผนังจำลองตุนหวง ผลงานของทายาทมรดกวัฒนธรรมจีนสี่รุ่น (Replicated Dunhuang mural masterpieces produced by four generations of Chinese cultural inheritors)
"Silk Roads Beyond Borders" ใช้บทเรียนจากอดีตมาเชื่อมโยงกับปัจจุบันทำให้โบราณวัตถุมีชีวิตผ่านแสง สี เสียง และการมีส่วนร่วมโดยการเชื่อมหัวใจของผู้คนผ่านศิลปะ นิทรรศการนี้เฉลิมฉลองความรุ่งโรจน์ของการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม พร้อมเผยให้เห็นความงดงามทางประวัติศาสตร์ของเส้นทางสายไหม และมรดกร่วมสมัยที่ยังคงสืบทอดอยู่ สิ่งเหล่านี้ตอกย้ำพลังแห่งการหลอมรวมทางอารยธรรม และสะท้อนความมุ่งมั่นร่วมกันของมนุษยชาติในการก้าวไปสู่อนาคตโลกที่เชื่อมโยงถึงกันและเข้าใจซึ่งกันและกันอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น
