สำหรับโทนโดยรวมจากการประชุมนั้น ผลการตัดสินนโยบายไม่ Dovish เท่าที่ตลาดคาดไว้ คือคณะกรรมการไม่ได้ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยแรงเท่าที่ตลาด Price-in ทำให้ US Treasury yields ปรับสูงขึ้นเล็กน้อย ดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับสูงขึ้น ราคาทองคำปรับลดลง และเงินบาทอ่อนค่าเล็กน้อย อีกประเด็นที่น่าสนใจจากการประชุมรอบนี้ คือการที่นาย Stephen Miran ซึ่งถูกแต่งตั้งโดย Trump ได้เข้าร่วมประชุม FOMC เป็นครั้งแรก และโหวตให้ลดดอกเบี้ยถึง 50 bps ในการประชุมครั้งนี้ และจะลดดอกเบี้ยไปถึง 2.75-3.00% ภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งเป็นมุมมองที่ Dovish กว่าคณะกรรมการคนอื่น ๆ ค่อนข้างมาก
ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) น่าจะลดดอกเบี้ยได้อีก 2 ครั้งในปีนี้ (ครั้งละ 25 bps) สอดคล้องกับมุมมองตลาดที่ให้โอกาสเกือบ 90% ที่เฟดจะลดดอกเบี้ยได้อีก 50 bps ในปีนี้ และ Price-in ว่า Fed จะลดดอกเบี้ยอีก 3 ครั้งในปีหน้า การที่เฟดส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยในปีนี้มากขึ้น แม้ว่าจะปรับประมาณการเศรษฐกิจดีขึ้น สะท้อนว่าคณะกรรมการมีมุมมองการดำเนินนโยบาย (Reaction function) ที่ Dovish มากขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้านี้ คือเฟดให้น้ำหนักต่อตลาดแรงงานที่อ่อนแอมากกว่าประเด็นเงินเฟ้อ และนโยบายการเงินต้องผ่อนคลายมากกว่าที่เคยประเมินไว้ก่อนหน้านี้
สำหรับมุมมองค่าเงินบาท มองว่าเงินบาทอาจอยู่ในกรอบ 31.50-32.00 ในช่วง 1 เดือนนี้ เนื่องจาก มองว่าการ Price-in ของตลาดค่อนข้างเหมาะสมกับบริบทเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ชะลอลงแต่ยังไม่ถึงขั้นภาวะ Recession ดังนั้น US Treasury yields น่าจะไม่ลงต่ออีกนัก อย่างไรก็ดี หากตลาดแรงงานสหรัฐฯ ยังอ่อนแอลงอีก และอัตราว่างงานสหรัฐฯ ปีนี้สูงขึ้นไปเหนือ 4.5% ก็อาจทำให้ Yields ลงต่อแรงอีกได้ และจะทำให้ดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า กดดันให้บาทแข็งค่าต่ำกว่าระดับ 31.50 ต่อดอลลาร์สหรัฐได้ สำหรับแรงกดดันจากปัจจัยอื่น เช่น ราคาทองคำ และเงินทุนเคลื่อนย้ายสู่ตลาดบอนด์ไทย นายวชิรวัฒน์ มองว่าแรงกดดันเริ่มลดลงแล้ว หลังราคาทองคำเริ่มเผชิญแนวต้านในระยะสั้น (Treasury yields ที่กลับมาสูงขึ้นส่งผล Downside ต่อราคาทองคำ) และเงินทุนเคลื่อนย้ายเริ่มไหลออกจากตลาดบอนด์ไทยในบางวัน
สำหรับระยะกลางถึงยาว มองว่าแรงกดดันด้านแข็งค่าต่อเงินบาทจะยังอยู่ แต่เงินบาทน่าจะไม่แข็งค่าไปจากระดับปัจจุบันมากนัก โดยมองกรอบสิ้นปีที่ราว 31.00-32.00 เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังอ่อนแอและเครื่องชี้ เช่น การส่งออก และการบริโภคภาคเอกชน มีแนวโน้มชะลอลงต่อได้ในช่วงที่เหลือของปี อีกทั้ง ยังมีความเสี่ยงที่ไทยจะถูก Moody's ปรับลด Credit rating ลงในช่วงปลายปีนี้หรือปีหน้า (ปัจจุบันอยู่ที่ Baa1 หรือเทียบเท่า BBB+) หลังไทยเพิ่งถูกปรับ Outlook ลงจาก Stable มาที่ Negative เมื่อเดือน เม.ย. 2025 สำหรับปัจจัยต่างประเทศ มองว่าดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐจะยังอ่อนค่าต่อเนื่องได้ถึงปีหน้า จึงจะยังทำให้เงินบาทอยู่ในโซนแข็งค่าต่อได้ ตามทิศทาง De-dollarization ของนักลงทุนโลก และ Easing cycle ของ Fed ที่น่าจะดำเนินได้ต่อเนื่องถึงปีหน้า
ด้านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยปรับสูงขึ้นแรงในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย หรือ 5-year yields ปรับสูงขึ้น 14 bps ส่วน 10-year yields ปรับสูงขึ้น 25 bps, และ 30-year yields ปรับสูงขึ้นถึง 30 bps ก่อนที่ล่าสุดจะปรับลดลงมาบางส่วน สาเหตุที่ Yields สูงขึ้นและ Curve ชันขึ้น (Steepen) มาจากการเทขายของทั้งนักลงทุนในประเทศโดยเฉพาะกลุ่มสถาบัน และนักลงทุนต่างชาติบางส่วน หลังช่วงที่ผ่านมา Bond yields ไทยต่ำและ curve flatten ไปมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาค อีกทั้ง Auction demand ช่วงที่ผ่านมายังออกมาต่ำ และนักลงทุนบางส่วนเริ่มปรับมุมมองดอกเบี้ยนโยบายของไทย ในระยะต่อไป นายวชิรวัฒน์มองว่า Yields ไทยอาจทรงตัวในระยะสั้น โดยตลาดได้ price-in การลดดอกเบี้ยของ กนง. ในช่วง 2026H1 ไปที่ต่ำกว่า 1% เล็กน้อย ซึ่ง SCB FM มองว่าเหมาะสมแล้ว ทั้งนี้ หาก กนง. ยังไม่ลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือน ต.ค. ก็อาจทำให้ Yields กลับมาสูงขึ้นอีกได้