กทม. เร่งขอจัดสรรงบฯ ชำระหนี้ค่าจ้างเดินรถ-ซ่อมบำรุงรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย พร้อมศึกษา แนวทางบริหารจัดการหลังสิ้นสุดสัมปทาน

นายสิทธิพร สมคิดสรรพ์ ผู้อำนวยการสำนักการจราจรและขนส่ง (สจส.) กทม. กล่าวถึงการดำเนินการของ กทม. ภายหลังศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาให้ กทม. ร่วมกับบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด (KT) ชำระหนี้ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุงโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายที่ 1 จำนวน 2,895,049,026.25 บาท พร้อมดอกเบี้ยของต้นเงินจำนวน 2,771,356,222.15 บาท และส่วนต่อขยายที่ 2 จำนวน 8,173,420,912.28 บาท พร้อมดอกเบี้ยของต้นเงินจำนวน 7,848,122,792 บาท คิดตามอัตราดอกเบี้ย MLR+1 นับตั้งแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น โดยให้ชำระหนี้ทั้งหมดภายใน 180 วันนับแต่วันที่คดีถึงที่สุด ซึ่งเป็นค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุงตั้งแต่เดือน มิ.ย. 64 ถึง ต.ค. 65 ว่า กทม. ได้ประสานสำนักบังคับคดีปกครอง สำนักงานศาลปกครอง เพื่อคำนวณยอดหนี้ทั้งหมดพร้อมดอกเบี้ย และมอบหมายให้ KT เจรจากับบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เพื่อขอปรับลดดอกเบี้ย นอกจากนี้ สจส. ได้จัดทำคำของบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปี พ.ศ. 2569 วงเงิน 32,625,106,200 บาท ซึ่งครอบคลุมค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุงที่ค้างชำระทั้งในส่วนที่ศาลมีคำพิพากษาจนถึงเดือน ส.ค. 68 ปัจจุบันอยู่ระหว่างเสนอสภา กทม. พิจารณาให้ความเห็นชอบร่างข้อบัญญัติดังกล่าว

Monday 6 October 2025 17:26

สำหรับการกำหนดอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้า กระทรวงคมนาคมได้มอบหมายให้กรมการขนส่งทางรางเป็นหน่วยงานพิจารณากำหนดเพดานค่าโดยสารสูงสุด และให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) รับผิดชอบเรื่องระบบตั๋วร่วม โดยปัจจุบันพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) กรมการขนส่งทางรางฯ และ พ.ร.บ. การบริหารจัดการระบบตั๋วร่วมฯ ได้ผ่านการพิจารณาจากสภาผู้แทนราษฎรแล้วเมื่อเดือน ส.ค. 68 โดย กทม. เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบกำกับดูแลโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวและโครงการรถไฟฟ้าสายสีทอง ได้ร่วมเป็นคณะกรรมการพิจารณาผลการดำเนินการ การศึกษาพัฒนารูปแบบ การกำกับดูแลและการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม ทั้งนี้ หาก พ.ร.บ. ดังกล่าวประกาศในราชกิจจานุเบกษาและมีผลบังคับใช้ กทม. พร้อมที่จะดำเนินการตามนโยบายดังกล่าวในโครงการรถไฟฟ้าที่อยู่ในความรับผิดชอบต่อไป

ทั้งนี้ ในส่วนของสัญญาสัมปทานเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่จะสิ้นสุดลงในปี 2572 ขณะนี้ สจส. ได้จ้างที่ปรึกษา เพื่อศึกษาแนวทางการบริหารจัดการทั้งส่วนสัมปทานและส่วนต่อขยายให้เป็นแนวทางเดียวกัน เพื่อบูรณาการโครงข่ายให้เชื่อมต่ออย่างมีประสิทธิภาพ คำนึงถึงประโยชน์ของรัฐและการให้บริการประชาชนสูงสุด หากได้ผลการศึกษาแล้วจะเสนอผู้บริหาร กทม. และกระทรวงมหาดไทย เพื่อนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นชอบ ก่อนจัดทำสัญญาสัมปทานฉบับใหม่ตาม พ.ร.บ. การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 โดยมีเป้าหมายในการบูรณาการเส้นทางทั้งหมดเป็นโครงข่ายเดียวกัน พร้อมทั้งปรับโครงสร้างค่าโดยสารทั้งโครงข่ายและลดภาระหนี้จากการบริหารโครงการที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน