แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า จากการลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชน ที่ผ่านมาของทีม SEhRT กรมอนามัย พบ 5 ความเสี่ยงที่ประชาชนจะได้รับผลกระทบด้านสุขภาพ คือ 1) อุบัติเหตุไฟดูด 2) การจมน้ำเสียชีวิต 3) โรคที่มากับน้ำท่วม เช่น โรคท้องเสีย น้ำกัดเท้า โรคที่มาจากสัตว์และแมลงพาหะนำโรค 4) ปัญหาสภาพแวดล้อม อาหารและน้ำปนเปื้อนเชื้อโรค ขาดแคลนอาหารและน้ำสะอาด การขับถ่าย และ 5) ปัญหาการดำเนินชีวิต การเดินทาง น้ำท่วมขัง น้ำไหลหลาก บ้านเรือนพัง การเรียนการสอนหยุดชะงัก ส่งผลต่อการเข้าถึงสถานพยาบาลของผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ ผู้พิการ ดังนั้นการดำเนินงานในภาวะฉุกเฉิน ต้องเร่งสื่อสารความเสี่ยงให้ความรู้การดูแลสุขภาพอนามัย และการปรับปรุงสุขาภิบาลให้กับประชาชน เฝ้าระวังความเสี่ยงสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อมในศูนย์พักพิงชั่วคราวหรือพื้นที่อพยพประชาชน เช่น ตรวจวัดคลอรีนในน้ำ ตรวจการปนเปื้อนเชื้อโรคในอาหาร การประเมินทางสุขภาพในกลุ่มเสี่ยงกลุ่มเปราะบาง (หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ เด็กเล็ก) การจัดการขยะและสิ่งปฏิกูล เป็นต้น
คุณภิญญาพัชญ์ จุลสุข ผู้อำนวยการกองอนามัยฉุกเฉิน กล่าวเสริมว่า สำหรับบางพื้นที่ที่สถานการณ์น้ำท่วมผ่านพ้นไปแล้ว กรมอนามัยยังคงติดตามและสนับสนุนให้ทุกหน่วยงานในพื้นที่เร่งฟื้นฟูสภาพแวดล้อมหลังน้ำลด เช่น ปรับปรุงระบบประปาหมู่บ้าน ให้ความรู้เรื่องการทำความสะอาดบ้าน ตลอดจนพื้นที่สาธารณะ เช่น การล้างตลาด การล้างทำความสะอาดบ่อน้ำตื้น ส่งเสริมสุขอนามัยที่ดี ได้แก่ การล้างมือให้สะอาด กินอาหารปรุงสุกใหม่เพื่อลดปัญหาโรคที่มากับอาหารและน้ำเป็นสื่อ สำหรับพื้นที่ที่มีความเสี่ยงขอให้ติดตามรายงานสถานการณ์น้ำท่วมอย่างใกล้ชิด และเตรียมความพร้อมด้านการดูแลกลุ่มเสี่ยงกลุ่มเปราะบาง ได้แก่ เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หลีกเลี่ยงการเดินลุยน้ำ เพื่อป้องกันโรคที่มากับน้ำท่วม เช่น โรคฉี่หนู โรคน้ำกัดเท้า โรคเชื้อราบนผิวหนัง เตรียมกระเป๋าฉุกเฉิน ยาประจำตัว และน้ำสะอาด รวมทั้ง เตรียมยกของขึ้นที่สูง เมื่อได้รับแจ้งจากหน่วยงานภาครัฐให้รีบอพยพออกจากบ้านเรือนทันที
