สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ออกหลักเกณฑ์เกี่ยวกับมาร์จิ้นโลน และกำหนดให้ บล. และผู้ประกอบธุรกิจสัญญาฯ ไม่ให้บริการที่เข้าข่ายเป็นการให้กู้เงินโดยมีหลักทรัพย์เป็นประกันที่ไม่จำกัดวัตถุประสงค์การใช้เงิน (Loan Against Securities) เพื่อให้ บล. และผู้ประกอบธุรกิจสัญญาฯ มีการให้บริการและการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม และสร้างความเชื่อมั่นต่อตลาดทุนโดยรวม โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
- ปรับปรุงอัตรามาร์จิ้นเริ่มต้น (Initial Margin) ของหุ้นจดทะเบียนที่ออกและเสนอขายหลักทรัพย์เป็นครั้งแรก (หุ้น IPO) เพื่อลดความเสี่ยงที่หลักประกันจะไม่เพียงพอกับการชำระหนี้
- ปรับปรุงหลักเกณฑ์การปล่อยกู้ให้สอดคล้องกับฐานะของ บล. โดยกำหนดยอดหนี้คงค้างจากการให้กู้ยืมเงินเพื่อซื้อหลักทรัพย์แก่ลูกค้าทุกรายรวมกันและแก่ลูกค้ารายใดรายหนึ่งให้รัดกุมขึ้น
- กำหนดให้ บล. มีมาตรการบริหารความเสี่ยงกรณีพบการกระจุกตัวของหุ้นที่ลูกค้านำมาวางเป็นหลักประกัน เช่น กำหนดระดับการกระจุกตัวของหลักประกันและการติดตามคุณภาพและการกระจุกตัวของลูกหนี้ เพื่อการติดตามและรายงานความเสี่ยง รวมถึงแก้ปัญหาได้ทันท่วงที
- กำหนดประเภทหน่วยลงทุน (daily redemption fund) ของกองทุนรวมที่สามารถวางเป็นหลักประกัน และเป็นหลักทรัพย์ที่ให้กู้ยืมเพื่อซื้อในบัญชีมาร์จิ้นได้ (marginable securities) ได้แก่ กองทุนรวมดัชนี กองทุนรวมหน่วยลงทุน และกองทุนรวมฟีดเดอร์ ซึ่งมีลักษณะเป็นไปตามที่กำหนด
ทั้งนี้ สำหรับหน่วยลงทุนของกองทุนรวมที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เช่น กองทุนรวมอีทีเอฟ ถือเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน ซึ่งสามารถใช้วางเป็นหลักประกัน และ marginable securities ได้ตามหลักเกณฑ์ปัจจุบัน
- กำหนดให้ บล. และผู้ประกอบธุรกิจสัญญาฯ ต้องไม่ให้บริการที่อาจเข้าข่ายเป็นการให้กู้ยืมเงินโดยมีหลักทรัพย์เป็นหลักประกันที่ไม่จำกัดวัตถุประสงค์การใช้เงิน (Loan Against Securities) โดยให้พิจารณาจากข้อเท็จจริงหรือสาระที่แท้จริง (substance) ของธุรกรรมนั้นเป็นสำคัญ ไม่ว่าธุรกรรมดังกล่าวจะมีลักษณะหรือรูปแบบใดก็ตาม
ทั้งนี้ หลักเกณฑ์ดังกล่าว* จะมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2568 ยกเว้นหลักเกณฑ์ตาม (2) จะมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2569 และสำหรับผู้ประกอบธุรกิจที่มียอดหนี้คงค้างเกินกว่าเกณฑ์กำหนดก่อนประกาศลงราชกิจจานุเบกษา ให้มีระยะเวลาเพื่อแก้ไขให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดภายใน 1 ปี นับแต่วันที่ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา