รศ. ดร. นพ.อติวุทธ กมุทมาศ แพทย์เฉพาะทางเวชศาสตร์ทางเพศ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นายกสมาคมเพศวิทยาคลินิกและเวชศาสตร์ทางเพศ (ประเทศไทย) และเจ้าของเพจ "เรื่องเล่าพี่หมอเอ้" กล่าวว่า "คนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น และ LGBTQ+ เข้าใจเรื่อง HIV ดีขึ้น แต่ขาดแรงจูงใจในการป้องกัน ปัจจุบันวัยรุ่นไทยและทั่วโลกแนวโน้มไม่ใช้ถุงยางมากขึ้น ไม่ใช่เป็นเพราะไม่มีความรู้ แต่เพราะได้รับอิทธิพลจากสื่อออนไลน์และครีเอเตอร์เฉพาะทาง เช่น OnlyFans ที่ทำให้การไม่ใส่ถุงยางถูกมองว่าเป็นแฟชั่น ทั้งที่ความเสี่ยงสูงขึ้นอย่างมาก"
พฤติกรรมทางเพศแบบกลุ่ม หรือมีคู่นอนมากกว่า 2 คนในเวลาเดียวกัน เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในช่วงไม่กี่ปี ทั้งในกลุ่มชายรักชาย (MSM) และกลุ่มทั่วไป พบทั้งรูปแบบสลับคู่นอน 3-5 คน หรือจัด Sex Party ซึ่งบางกลุ่มมองว่าเป็นแฟชั่นทางเพศ ขณะเดียวกันยังพบความสัมพันธ์แบบรักหลายคน (Polyamory) ที่ทุกฝ่ายยินยอม แม้คนส่วนใหญ่รู้จักวิธีป้องกัน HIV แต่ขาดการตระหนักรู้เชิงลึก โดยเฉพาะความเสี่ยงจากพฤติกรรมที่คิดว่าปลอดภัย เช่น ออรัลเซ็กส์ หรือการสัมผัสสารคัดหลั่ง ซึ่งยังมีโอกาสติดเชื้อได้
นอกจากนี้ แม้โรงเรียนส่วนใหญ่จะมีการเรียนการสอนเพศศึกษา แต่ยังเน้นเฉพาะเรื่องเพศศึกษาเชิงกายภาพ เช่น วิธีใช้ถุงยาง แต่ยังขาดการสอนเรื่อง สิทธิทางเพศ การยินยอม และพฤติกรรมทางเพศที่หลากหลาย ส่งผลให้วัยรุ่นไทยกว่าครึ่งยังมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน เพราะมองว่า 'ไม่ใส่มีความสุขกว่า' หรือ 'ยังเด็กไม่เสี่ยง' ซึ่งสะท้อนช่องว่างสำคัญที่ต้องเร่งแก้ไข
ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกัน HIV การป้องกันจึงต้องใช้หลายวิธีร่วมกัน ได้แก่
- ถุงยางอนามัย สำหรับการมีเพศสัมพันธ์ทุกประเภท
- แผ่นยางอนามัย (Dental Dam) สำหรับการทำออรัลเซ็กส์
- ยาเพร็พ (Pre-Exposure Prophylaxis: PrEP) เพื่อป้องกันก่อนสัมผัสเชื้อ
- ยาเพ็พ (Post-Exposure Prophylaxis: PEP) ยาต้านฉุกเฉินหลังสัมผัสเชื้อ
รศ. ดร. นพ.อติวุทธ เสริมว่า "ยาเพร็พเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่มีประสิทธิภาพในการช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อเอชไอวีได้ ทั้งนี้ ผู้ที่ยังไม่ติดเชื้อสามารถรับประทานหรือฉีดภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น ปัจจุบันมีทั้งแบบรับประทานทุกวัน (Daily PrEP) แบบเฉพาะกิจ (On-Demand PrEP) และแบบฉีดทุก 2 เดือน ซึ่งล่าสุดได้มีการบรรจุเพร็พชนิดฉีดไว้ในแนวทางปฏิบัติทางการแพทย์ของประเทศไทย (Clinical Practice Guideline) ที่เผยแพร่โดยสมาคมโรคเอดส์แห่งประเทศไทย เมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2568 อย่างไรก็ตาม การเข้าถึงบริการเพร็พในประเทศไทยยังมีข้อจำกัด ภาครัฐอาจควรพิจารณาขยายสิทธิให้ประชาชนเข้าถึงบริการนี้ได้อย่างทั่วถึงมากขึ้น"
"การให้ความรู้อย่างเดียวไม่เพียงพอ ต้องสร้างแรงจูงใจให้คนรุ่นใหม่ 'รักตัวเองให้มากขึ้น' กล้าที่จะป้องกันตัวเอง ปฏิเสธคู่นอนที่ไม่ยอมใส่ถุงยาง และปฏิเสธการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ยินยอม โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ไม่ได้มีแค่ HIV แต่ยังมีซิฟิลิสและโรคอื่น ๆ ที่อันตราย เดือนแห่งการตระหนักรู้เรื่อง HIV นี้ จึงอยากให้คนรุ่นใหม่ประเมินความเสี่ยง ป้องกันให้ครบทั้ง 'เพร็พและถุงยาง' และตรวจเลือดสม่ำเสมอ สุขภาพทางเพศที่ปลอดภัยคือจุดเริ่มต้นสำคัญของสุขภาพกายและใจที่ดี" รศ. ดร. นพ.อติวุทธ กมุทมาศ (พี่หมอเอ้) กล่าวทิ้งท้าย