นายแพทย์ปกรณ์ ตุงคะเสรีรักษ์ รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า สำหรับการแก้ปัญหาผู้ที่ดื่มนมแล้วมีอาการปวดท้อง แน่นท้อง ท้องอืด ท้องเสีย มีแก๊สในกระเพาะอาหารหลังดื่มนมหรือผลิตภัณฑ์นม อาจมีความเข้าใจผิดว่า แพ้นม แต่ความจริงแล้วไม่ใช่การแพ้นม (Milk Allergy) ที่เป็นปฏิกิริยาของระบบภูมิคุ้มกัน แต่เกิดจากร่างกายมีภาวะย่อยน้ำตาลแลคโตสบกพร่อง (Lactose Intolerance) ซึ่งภาวะนี้อาจเกิดจากพันธุกรรมและพบได้บ่อยในชาวเอเชีย แอฟริกา และยุโรปใต้มากกว่ายุโรปเหนือ อีกทั้ง เมื่ออายุมากขึ้นร่างกายผลิตเอนไซม์แลคเตส (Lactase) ลดน้อยลง จึงไม่เพียงพอในการย่อยน้ำตาลแลคโตสในนม จึงส่งผลให้เกิดอาการปวดท้อง แน่นท้อง ท้องเสีย การแก้ไขแนะนำโดยเริ่มดื่มครั้งละน้อยและสามารถเพิ่มเป็นดื่มนม1 แก้ว ต่อ 1-2 สัปดาห์ และไม่ควรดื่มนมตอนท้องว่าง ควรดื่มนมหลังอาหาร หรือเลือกกินผลิตภัณฑ์นมที่ผ่านการย่อยน้ำตาลแลคโตสบางส่วนโดยจุลินทรีย์ เช่น โยเกิร์ต หรือดื่มนมที่ปราศจากน้ำตาลแลคโตส หรือดื่มนมจากพืชเสริมแคลเซียม
ดร.แพทย์หญิงสายพิณ โชติวิเชียร ผู้อำนวยการสำนักโภชนาการ กล่าวว่า ส่วนการแพ้นมวัว หรือ โรคแพ้โปรตีนนมวัว ลักษณะอาการจะมีผื่นขึ้นบริเวณผิวหนัง ไอแห้ง คัดจมูก หอบ ริมฝีปากบวม อาเจียน หรือบางรายอาจมีอาการแพ้รุนแรงเฉียบพลัน โดยอาการจะเริ่มแสดงออกมาภายใน 1-3 ชม. โดยปกติแล้วการแพ้โปรตีนในนมจะเกิดขึ้นในช่วงอายุ 1 ขวบ และอาการจะดีขึ้นจนหายเป็นปกติเมื่อเด็กโตขึ้น