นายวรโชติ สุคนธ์ขจร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และอัตราการเกิดของเด็กไทยลดลงอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น การลงทุนในช่วงต้นชีวิตจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ อีกทั้ง การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่จะช่วยให้เด็กเติบโตมีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง มีพัฒนาการสมวัย และมีพื้นฐานสุขภาพที่ดี กระทรวงสาธารณสุข จึงได้กำหนดนโยบายเพื่อส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ 3 มิติหลัก ได้แก่ 1) ระบบบริการสุขภาพ พัฒนาโรงพยาบาลสายสัมพันธ์แม่ลูก และการดูแลต่อเนื่อง จากโรงพยาบาลสู่ชุมชน เสริมพลัง อสม.สู่ผู้ช่วยสาธารณสุข เพื่อสร้างชุมชนนมแม่อย่างยั่งยืน 2) ระบบสังคมและการทำงาน สนับสนุนนโยบาย แม่ทำงานก็ให้นมแม่ได้ สร้างมุมให้นมแม่ในสถานที่ทำงาน และผลักดันการจัดสวัสดิการที่เป็นมิตรต่อแม่และเด็ก และ 3) การสื่อสารและการสร้างค่านิยมสังคม พัฒนาองค์ความรู้ให้ประชาชน เห็นคุณค่าของนมแม่ พร้อมควบคุมการตลาดผลิตภัณฑ์นมดัดแปลงอย่างเข้มแข็งตามกฎหมาย เพราะการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ไม่ใช่เพียงทางเลือกของแม่ แต่เป็นความรับผิดชอบของทั้งสังคมที่จะร่วมกันสร้างระบบสนับสนุนที่ยั่งยืน เพื่อให้แม่ทุกคนสามารถให้นมลูกได้อย่างมีความสุข
แพทย์หญิงศิริพร กัญชนะ ประธานมูลนิธินมแม่แห่งประเทศไทย กล่าวว่า มูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย ร่วมกับ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข สสส. และภาคีเครือข่าย เห็นถึงความสำคัญในการที่จะส่งเสริมให้เด็กไทยได้กินนมแม่ จึงจัดการประชุมวิชาการนมแม่แห่งชาติครั้งที่ 9 (Breastfeeding : Make itHappen, Make it Happy) เพื่อพัฒนาศักยภาพบุคลากรสาธารณสุขในการยกระดับองค์ความรู้ นวัตกรรม และเทคโนโลยีสำหรับการให้บริการโรงพยาบาลสายสัมพันธ์แม่ลูก และสร้างความรอบรู้ให้ประชาชน ในการส่งเสริม สนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ให้มีประสิทธิภาพและครอบคลุมทุกพื้นที่ เป็นความท้าทายในการประชุมที่มีองค์ความรู้อะไรใหม่ๆที่แลกเปลี่ยนเพื่อช่วยให้แม่สามารถเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้ เป้าหมายที่ของการประชุมครั้งนี้ คือ เกิดการขับเคลื่อนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในระดับองค์กรและระดับประเทศอย่างเป็นรูปธรรม
แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า จากการสำรวจสถานการณ์เด็กและสตรีในประเทศไทย พ.ศ. 2565 (MICs7) พบว่า อัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ของมารดาไทยอย่างเดียว 6 เดือน (EBF rate) เท่ากับ ร้อยละ 28.6 ซึ่งเป้าหมายที่กำหนดไว้ คือ เด็กไทยอย่างน้อยร้อยละ 50 กรมอนามัยจึงเร่งรณรงค์การส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ภายใต้ 3 H คือ Happy Body สุขกายได้ทั้งแม่และลูก การให้นมแม่ช่วยให้แม่ลดการเสียเลือดหลังคลอด มดลูกเข้าอู่เร็ว ลดความเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมและมะเร็งรังไข่ ลดน้ำหนักหลังคลอด ลดโอกาสเกิดโรค NCDs ส่วนลูกจะเติบโตสมวัยมีภูมิต้านทานโรค ลดความเสี่ยงต่อโรค NCDsและภูมิแพ้ในอนาคต Happy Mind สุขใจใกล้ชิด เพิ่มพลังรักและผูกพันการให้นมแม่ช่วยกระตุ้นฮอร์โมน "ออกซิโทซิน" ทำให้แม่รู้สึกสงบ ลดความเครียดและภาวะซึมเศร้าหลังคลอด ส่งเสริมพัฒนาการสมองของลูก เพิ่มระดับ IQ Happy Money สุขเงิน ประหยัดคุ้มค่าเพื่อครอบครัว ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการซื้อนมผสมและยังช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาเด็กป่วย
ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม รองผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวว่า จากผลสำรวจสถานการณ์เด็กและสตรีในประเทศไทย (MICS) ปี 2565 โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ และองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย พบอัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวในช่วง 6 เดือนหลังแรกเกิดของไทยอยู่ที่ 28.6% ซึ่งยังต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 50% สสส.จึงให้ความสำคัญของการสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างรอบด้าน โดยร่วมกับมูลนิธิศูนย์นมแม่ฯ และภาคีเครือข่าย ขับเคลื่อนด้วย "Support BF Happen & Happy" สนับสนุนการพัฒนาข้อมูลวิชาการ เพื่อใช้ประกอบการขับเคลื่อนนโยบาย เช่น 1.ขับเคลื่อนผลักดันมาตรการลาคลอด 6 เดือน และเวลาพักบีบเก็บนมในช่วงเวลาทำงานที่เป็นมิตรกับครอบครัว 2.ส่งเสริมให้มีระบบสนับสนุนในโรงพยาบาลผ่านคู่มือ "บันได 10 ขั้นสู่ความสำเร็จการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่" 3.สนับสนุนการจัด "มุมนมแม่" ในสถานประกอบการกว่า 2,000 แห่งทั่วประเทศ 4.พัฒนาศักยภาพบุคลากรสาธารณสุขและอาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) สนันสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในชุมชน 4.สื่อสารเรื่องประโยชน์ของนมแม่อย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยให้แม่และครอบครัวตัดสินใจเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ทั้งนี้ การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ มีส่วนสำคัญต่อพัฒนาการและศักยภาพของเด็กไทย ส่งผลดีต่อระบบสุขภาพ สังคม และอนาคตของประเทศในระยะยาว