นายอนิพัทย์ ศรีรุ่งธรรม ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการตลาด บริษัท ออโรร่า ดีไซน์ จำกัด (มหาชน) หรือ AURA ผู้นำในธุรกิจค้าปลีกทองรูปพรรณ เครื่องประดับอัญมณี และธุรกิจขายฝากทองมาเงินไป ด้วยการให้บริการที่เกี่ยวเนื่องแบบครบวงจร เปิดเผยถึง ภาพรวมผลประกอบการไตรมาส 3/2568 เติบโตแข็งแกร่ง โดยมีรายได้จากการดำเนินงานรวม 10,302.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.8% ขณะที่ กำไรสุทธิอยู่ที่ 261.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 56.6 ล้านบาท หรือ 27.6% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน (YoY) สะท้อนศักยภาพการบริหารจัดการธุรกิจที่มีประสิทธิภาพ แม้อยู่ในช่วงไตรมาสโลว์ซีซั่นของธุรกิจ
ส่วนผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกของปี 2568 มีรายได้รวม 27,993.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.8 % ขณะที่ กำไรขั้นต้นอยู่ที่ 3,270.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.1% กำไรสุทธิอยู่ที่ 1,022.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.0% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน (YoY)
ภาพรวมไตรมาส 3/2568 แรงหนุนสำคัญมาจากทั้งธุรกิจค้าปลีกทองรูปพรรณ (Modern Gold) และ ธุรกิจขายฝากทองคำภายใต้แบรนด์ "ทองมาเงินไป" (Gold Financing Business)
ด้านธุรกิจค้าปลีก รายได้ยังคงเติบโตโดดเด่น ด้วยรายได้จากการขายสินค้ารวม 10,039.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29.8% YoY ด้านธุรกิจขายฝากทองคำ ก็ยังคงเติบโตโดดเด่น โดยมีพอร์ตบัญชีลูกหนี้ขายฝาก (AR Balance) ในไตรมาส 3/2568 อยู่ที่ 6,996.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 66.1% YoY สะท้อนความสำเร็จของกลยุทธ์การขยายบริการให้เข้าถึงลูกค้าในวงกว้าง ทั้งในรูปแบบ Stand Alone และ Shop-in-Shop โดยเฉพาะในหัวเมืองรองที่มีความต้องการใช้บริการขายฝากในระบบที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้
AURA มั่นใจว่าภายในสิ้นปี 2568 พอร์ตทองมาเงินไปจะมีลูกหนี้ขายฝาก (AR Balance) แตะระดับ 7,500-8,000 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายเดิมที่วางไว้เมื่อต้นปี และตอกย้ำศักยภาพของธุรกิจ Gold Financing ในการเป็นหนึ่งในกลไกหลักขับเคลื่อนการเติบโตของบริษัท
ในด้านช่องทางการจำหน่าย ณ สิ้นไตรมาส 3/2568 AURA มีจำนวนสาขาภายใต้แบรนด์ AURORA, เซ่งเฮง, AURORA Diamond, ของขวัญ by AURORA และทองมาเงินไป รวม 592 สาขา เพิ่มขึ้นกว่า 24% จากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า ส่วนใหญ่เป็นการขยายสาขาทองมาเงินไป รองรับธุรกิจขายฝากซึ่งกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว
แม้ราคาทองคำในไตรมาส 3 จะผันผวนจากปัจจัยภายนอก ทั้งทิศทางดอกเบี้ยของสหรัฐฯ และสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ แต่ AURA ยังคงรักษาอัตรากำไรขั้นต้นได้มั่นคง ด้วยระบบ Natural Hedge ที่ช่วยบริหารความเสี่ยงจากความผันผวนของราคา ร่วมกับประสบการณ์กว่า 50 ปีในธุรกิจทองคำ ทำให้สามารถบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพและยืดหยุ่น
"ด้วยโมเดลธุรกิจที่แข็งแกร่ง AURA สามารถสร้างรายได้และกำไรอย่างสม่ำเสมอในทุกภาวะตลาด เมื่อราคาทองปรับขึ้น เราได้ประโยชน์จากฝั่งรับซื้อคืนหรือธุรกิจขายฝาก ส่วนเมื่อราคาทองปรับลดลง ก็เป็นจังหวะที่ลูกค้าหันมาซื้อทองเพิ่มขึ้น ทำให้รอบหมุนสินค้าสูงขึ้น และสร้างกำไรได้ทั้งจากส่วนต่างราคาและค่ากำเหน็จ โดยเฉพาะในช่วงที่ผ่านมา ราคาทองทำสถิติสูงสุดใหม่ แม้มีลูกค้าบางส่วนขายทองออก แต่กระแสการเก็งกำไรและการสะสมทองของลูกค้าอีกกลุ่มกลับเพิ่มขึ้น ส่งผลดีต่อปริมาณธุรกรรม (Volume) ของบริษัท" นายอนิพัทย์ กล่าว
สำหรับแนวโน้มไตรมาส 4/2568 ซึ่งเป็นช่วง High Season ของธุรกิจ บริษัทเตรียมเดินหน้ากิจกรรมการตลาด คาดว่าจะช่วยหนุนปริมาณธุรกรรมและรายได้ให้เติบโตต่อเนื่อง โดยคาดว่ากำไรสุทธิปีนี้จะเติบโตไม่แพ้เดิมจากปีก่อนหน้า ปัจจัยขับเคลื่อนหลักมาจากทั้งธุรกิจค้าปลีกทองคำที่ยังคงเติบโตแข็งแกร่ง และธุรกิจทองมาเงินไป ที่กลายเป็นฐานกำไรใหม่ของกลุ่ม ส่งผลให้ AURA สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผู้ถือหุ้นในระยะยาว
ในขณะที่ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่มีเสน่ห์และเป็นที่ต้องการในทุกยุค ทั้งในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยและเครื่องมือออมมูลค่า เมื่อผสานเข้ากับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ที่ต้องการความสะดวก รวดเร็ว และโปร่งใส จึงเป็นโอกาสของ AURA ในการยกระดับธุรกิจทองคำให้ทันสมัยขึ้น ด้วยเทคโนโลยีและบริการครบวงจร เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน และต่อยอดศักยภาพของตลาดทองคำไทยในระยะยาว