ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สาธิมา สุระธรรม ภาควิชาการพยาบาลกุมารเวชศาสตร์ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวถึง โรคเบาหวานในเด็กแบ่งเป็น 2 ประเภทที่พบบ่อยคือ
เบาหวานชนิดที่ 1 เกิดได้ในเด็กตั้งแต่อายุน้อย ส่วนมากมักไม่อ้วน ประมาณร้อยละ 95 ของผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 1 เกิดจากการสร้างภูมิต้านทานตนเองมาทำลายเบต้าเซลล์ของตับอ่อน ส่งผลให้ตับอ่อนไม่สามารถสร้างอินซูลินในร่างกายได้ ผู้ป่วยจึงมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น
เบาหวานชนิดที่ 2 มีกลไกเกิดจากการที่ร่างกายไม่ตอบสนองต่ออินซูลิน ร่วมกับตับอ่อนบกพร่องในการหลั่งอินซูลิน โดยมีปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้แก่ ปัจจัยทางพันธุกรรม สมาชิกในครอบครัวมีประวัติเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ประวัติการคลอดที่มีน้ำหนักแรกเกิดน้อยหรือมากกว่าปกติ ประวัติมารดามีเบาหวานขณะตั้งครรภ์ และการได้รับยา atypical antipsychotics ที่ทำให้น้ำหนักขึ้นเร็ว และภาวะอ้วนเนื่องจากปัจจุบันสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมการรับประทานอาหารที่เปลี่ยนไป เช่น การนิยมรับประทานอาหาร Fast Food ร่วมกับเด็กใช้เวลาไปกับมือถือมากขึ้นทำให้ขาดการออกกำลังกาย จึงส่งผลให้เด็กไทยเป็นโรคอ้วน และเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 มากขึ้น
ดังนั้น ผู้ปกครองต้องหมั่นสังเกตอาการผิดปกติที่สำคัญ ดังนี้
อาการเบาหวานชนิดที่ 1 กระหายน้ำมากผิดปกติ ปัสสาวะบ่อย (โดยเฉพาะกลางคืน) กินอาหารมากขึ้นแต่น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว
อาการเบาหวานชนิดที่ 2 มักพบในเด็กที่มี ภาวะอ้วนหรือน้ำหนักเกิน สังเกต ผิวหนังบริเวณคอ รักแร้ หรือขาหนีบมีปื้นดำหนาขรุขระ แสดงว่ามีลักษณะของ insulin resistance โดยแนะนำให้พิจารณาตรวจคัดกรองในเด็กและวัยรุ่นเมื่อเริ่มเข้าสู่หนุ่มสาว (puberty) หรือมีอายุตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป ที่มีน้ำหนักเกินหรืออ้วน คือดัชนีมวลกายตั้งแต่เปอร์เซ็นไทล์ที่ 85 ขึ้นไป และมีปัจจัยเสี่ยงตั้งแต่ 1 ข้อขึ้นไป ได้แก่
- มีพ่อ แม่ พี่ น้อง หรือ ปู่ ย่า ตา ยาย ลุง ป้า น้า อา เป็นเบาหวานชนิดที่ 2
- มีลักษณะของ insulin resistance และ polycystic ovary syndrome
- มีประวัติการคลอดที่มีน้ำหนักแรกเกิดน้อยหรือมากกว่าปกติ
- มีประวัติมารดามีเบาหวานขณะตั้งครรภ์
กำลังได้รับยา atypical antipsychotics ที่ทำให้น้ำหนักขึ้นเร็ว เช่น clozapine, risperidone
ทั้งนี้ในส่วนของผู้ปกครอง หากลูกป่วยเป็นเบาหวานแล้ว จำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยการฉีดอินซูลินหรือใช้อินซูลินปั๊มทดแทนตลอดชีวิตในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 และผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 บางรายที่ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้ตามเป้าหมาย
นอกจากนี้ สิ่งสำคัญที่ห้ามมองข้าม คือ เด็กควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ตามโภชนาการที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตและเป็นอาหารสุขภาพ ควรหลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง เช่น น้ำอัดลมและขนมหวาน และปรึกษานักโภชนาการเพื่อกำหนดสัดส่วนอาหารที่เหมาะสม เป้าหมายเพื่อให้มีสุขภาพและการเจริญเติบโตที่ดี ควบคู่กับการรักษาเบาหวาน ลดภาวะแทรกซ้อนทางหลอดเลือดในอนาคต
สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดด้วยการ ควบคุมน้ำหนักไม่ให้เกิดภาวะอ้วน ดังนี้
- รับประทานอาหารหลักให้ครบ 5 หมู่ในปริมาณที่เหมาะสม เพิ่มผักและผลไม้ให้มากขึ้น และลดการบริโภคอาหารประเภททอด อาหารแปรรูป และเครื่องดื่มน้ำตาลสูง แนะนำให้รับประทานอาหารตามสัดส่วนคาร์โบไฮเดรตร้อยละ 40-50 ไขมันร้อยละ 30-40 และจากโปรตีนร้อยละ 15-25
- ปรับพฤติกรรม โดยลดพฤติกรรมเนือยนิ่ง การใช้เวลาหน้าจอที่ไม่เกี่ยวกับการเรียนหรือวิชาการไม่เกิน 1-2 ชั่วโมง/วัน ออกกำลังกายระดับปานกลางถึงหนักอย่างน้อย 60 นาทีทุกวัน (พร้อมฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้ออย่างน้อย 3 สัปดาห์/สัปดาห์) เพื่อเพิ่มการตอบสนองต่ออินซูลิน โดยมีเป้าหมายเพื่อลดน้ำหนักตัวให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 7-10
ท้ายนี้ ฝากถึงพ่อแม่ : ท่านคือผู้กำหนดสุขภาพของลูก การปลูกฝัง พฤติกรรมการกินที่สมดุลและการออกกำลังกายสม่ำเสมอ ตั้งแต่เยาว์วัยคือ "วัคซีน" ป้องกันเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ดีที่สุด พ่อแม่ควรเป็นแบบอย่างที่ดีในการดูแลสุขภาพ และหากพบอาการน่าสงสัย ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อการวินิจฉัยที่รวดเร็ว การจัดการโรคตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้เด็กเติบโตได้อย่างมีคุณภาพ
ฝากถึงเด็ก ๆ: การเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ การเคลื่อนไหวร่างกายและเล่นสนุกอยู่เสมอ ไม่ใช่แค่ทำให้ร่างกายแข็งแรง แต่ยังเป็นการป้องกันตัวเองจากโรคภัยในอนาคต ทำให้เราใช้ชีวิตได้อย่างสนุกและมีความสุขไปด้วย-
อ้างอิงจาก : ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์, สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, สมาคมต่อมไร้ท่อแห่งประเทศไทย, และกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข. (2566). แนวทางเวชปฏิบัติสำหรับโรคเบาหวาน 2566.