ทั้งนี้ สนพ. ได้เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ในโรงเรียนและศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนของ กทม. โดยประสานสำนักการศึกษา (สนศ.) สำนักพัฒนาสังคม (สพส.) และสำนักอนามัย (สนอ.) ให้มีระบบคัดกรองนักเรียนที่มีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ รายงานข้อมูลให้ศูนย์บริการสาธารณสุขในพื้นที่ทันที รวมถึงการประสานส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉิน หรือผู้ที่มีอาการรุนแรงเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล พร้อมให้คำแนะนำการทำความสะอาดสถานที่และการพิจารณามาตรการปิดชั้นเรียนหากพบการระบาด รวมทั้งการเฝ้าระวังแบบเครือข่ายโดยจัดตั้งระบบรายงานข้อมูลผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจจากสถานพยาบาลในสังกัด เพื่อประเมินความรุนแรงและติดตามสายพันธุ์ที่ระบาด ซึ่งพบว่า สายพันธุ์ A/H3N2 เป็นสายพันธุ์ที่พบมากที่สุดถึงร้อยละ 76
นอกจากนี้ ยังได้สั่งการให้โรงพยาบาลในสังกัด กทม. ทั้ง 11 แห่งเตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์โรคระบบทางเดินหายใจ โดยให้สำรองยาและเวชภัณฑ์ที่จำเป็นอย่างเพียงพอสำหรับการดูแลรักษาผู้ป่วย โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงและผู้ที่มีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง พร้อมทั้งจัดเตรียมพื้นที่และเตียงผู้ป่วยสำหรับคลินิกโรคระบบทางเดินหายใจ (ARI Clinic) และจัดระบบ Fast Track เพื่อให้ผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงที่มีอาการรุนแรงได้รับการดูแลอย่างรวดเร็ว เพื่อลดอัตราการเสียชีวิต ขณะเดียวกันได้กำชับให้บุคลากรทางการแพทย์เฝ้าระวังและติดตามผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนที่อาจเจ็บป่วยจากโรคระบบทางเดินหายใจอื่น ๆ ที่เพิ่มขึ้นในช่วงอากาศเปลี่ยนแปลง อาทิ โรคปอดอักเสบ และโรคติดเชื้อไวรัส RSV อย่างใกล้ชิดควบคู่กันไป
ขณะเดียวกันได้เดินหน้าขับเคลื่อนการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลแก่ประชาชนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะใน 7 กลุ่มเสี่ยง ซึ่งมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดอาการรุนแรงและเสียชีวิต โดยข้อมูลระดับประเทศ พบผู้เสียชีวิตร้อยละ 94 ไม่มีประวัติได้รับวัคซีน พร้อมทั้งดำเนินมาตรการเชิงรุกผ่านการประชาสัมพันธ์ในช่องทางออนไลน์และขยายการให้บริการวัคซีนไปยังประชาชนที่เข้ารับการตรวจสุขภาพภายใต้โครงการ "ตรวจสุขภาพ 1 ล้านคน" ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของ กทม. ในการดูแลสุขภาพของประชาชนทุกคน รวมถึงเปิดให้ประชาชนสามารถเข้ารับบริการฉีดวัคซีนได้ที่โรงพยาบาลในสังกัด กทม. ทั้ง 11 แห่ง และศูนย์บริการสาธารณสุขทั้ง 69 แห่ง เพื่อให้เข้าถึงการป้องกันโรคได้อย่างทั่วถึงและทันท่วงที
ที่ผ่านมา ได้สื่อสารสร้างความตระหนักและความเข้าใจแก่ประชาชนทุกกลุ่มเกี่ยวกับความสำคัญของวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันและลดความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยรุนแรงหรือเสียชีวิต โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงและผู้สูงอายุ ซึ่งพบว่า ค่าเฉลี่ยอายุของผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 61 ปี พร้อมย้ำให้ประชาชนเข้ารับการฉีดวัคซีนเป็นประจำทุกปี เนื่องจากสายพันธุ์ของเชื้อมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ตลอดจนเน้นย้ำการปฏิบัติตนเพื่อดูแลสุขภาพและป้องกันโรคด้วยการรักษาสุขอนามัย เช่น ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่ หรือแอลกอฮอล์เจล สวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในพื้นที่แออัด หรืออากาศถ่ายเทไม่สะดวก และเมื่อมีอาการเจ็บป่วย เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่นและลดความเสี่ยงการติดเชื้ออื่น ๆ รวมถึงให้หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้อื่นและหยุดเรียนหรือหยุดงานหากมีอาการไข้ ไอ หรือเจ็บคอ
นางดวงพร ปิณจีเสคิกุล ผู้อำนวยการสำนักอนามัย (สนอ.) กทม. กล่าวว่า สนอ. ได้ดำเนินการเฝ้าระวัง ควบคุม และลดผลกระทบจากโรคไข้หวัดใหญ่ต่อสุขภาพของประชาชนอย่างต่อเนื่อง จากข้อมูลจนถึงวันที่ 15 พ.ย. 68 พบผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่สะสม 134,886 ราย คิดเป็นอัตราป่วยสะสม 2,472 รายต่อแสนประชากร โดยมีผู้เสียชีวิตสะสม 6 ราย กลุ่มอายุที่พบอัตราป่วยสูงที่สุด ได้แก่ เด็กอายุ 5-9 ปี รองลงมาคือกลุ่มอายุ 0-4 ปี และ 10-14 ปี ตามลำดับ ทั้งนี้ สนอ. ได้ดำเนินมาตรการสื่อสารความรู้แก่ประชาชน เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับโรคไข้หวัดใหญ่และแนวทางการป้องกัน โดยเน้นย้ำให้ประชาชนปฏิบัติตามสุขอนามัยขั้นพื้นฐาน ได้แก่ การสวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในสถานที่แออัดหรือเมื่อมีอาการเจ็บป่วย เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ รวมถึงการล้างมือบ่อย ๆ และหลีกเลี่ยงการใกล้ชิดผู้อื่นเมื่อมีอาการไข้ ไอ เจ็บคอ พร้อมทั้งส่งเสริมการฉีดวัคซีน เพื่อช่วยลดความเสี่ยงการป่วยรุนแรงและการเสียชีวิตจากภาวะแทรกซ้อน โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน ซึ่งเป็นฤดูกาลระบาดของโรค และสภาพอากาศชื้นเอื้อต่อการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสได้มากขึ้น
สำหรับความคืบหน้าการให้บริการวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ สนอ. ได้ฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนกลุ่มเสี่ยง 7 กลุ่ม ในศูนย์บริการสาธารณสุขทุกแห่ง รวมถึงการออกหน่วยฉีดวัคซีนเชิงรุกในชุมชน สถานดูแลผู้สูงอายุ และโรงเรียนสังกัด กทม. โดยได้รณรงค์ฉีดวัคซีนประจำปีในช่วงเดือน พ.ค. - ส.ค. 68 และให้บริการวัคซีน เพื่อควบคุมการระบาดในฤดูหนาวช่วงเดือน ต.ค. รวมแล้วประมาณ 250,000 โดส นอกจากนี้ กทม. ได้เตรียมความพร้อมระบบบริการทางการแพทย์ เพื่อรองรับสถานการณ์ผู้ป่วยที่อาจเพิ่มขึ้น โดยจัดเตรียมแถบ rapid test สำหรับวินิจฉัยโรคไข้หวัดใหญ่ พร้อมสำรองยารักษาตามแนวทางการดูแลผู้ป่วย ตลอดจนกำชับให้บุคลากรในพื้นที่เฝ้าระวังการระบาดอย่างใกล้ชิด และติดตามผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนจากโรคระบบทางเดินหายใจที่อาจพบมากขึ้นในช่วงสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง