1. เลือกตามขนาดพื้นที่ห้อง
ขนาดห้องคือปัจจัยแรกที่ต้องพิจารณา เครื่องฟอกอากาศแต่ละรุ่นรองรับพื้นที่ต่างกัน
- ห้องนอน 15-25 ตร.ม. ใช้เครื่องขนาดเล็ก-กลาง
- ห้องนั่งเล่นหรือโถง 30-50 ตร.ม. ใช้เครื่องขนาดใหญ่
ควรดูค่าบอกประสิทธิภาพ เช่น CADR หรือพื้นที่รองรับ (Square meter)
2. เลือกแผ่นกรอง HEPA ระดับ H13 ขึ้นไป
หากต้องการกรองฝุ่น PM 2.5 อย่างจริงจัง แนะนำให้เลือกเครื่องที่ใช้แผ่นกรอง HEPA ระดับ H13 หรือ H14 เพราะสามารถดักจับอนุภาคที่มีขนาดเล็กมากได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่า 99%
3. ตรวจระบบกรองหลายชั้น
เครื่องฟอกอากาศที่ดีควรมีระบบกรองหลายชั้นเพื่อรองรับมลพิษหลายประเภท
- Pre-filter ดักฝุ่นขนาดใหญ่ ขนสัตว์ เส้นผม
- HEPA filter จับฝุ่นละอองละเอียด
- Activated Carbon ลดกลิ่น ควัน และสารเคมี
บางรุ่นมีระบบดักเชื้อโรคหรือปล่อยไอออนเพิ่มเติม
4. ความดังของเสียง
ระดับเสียงมีผลต่อการใช้งาน โดยเฉพาะตอนกลางคืน ควรเลือกเครื่องที่มีระดับเสียงต่ำกว่า 30 เดซิเบล หรือมีโหมด Sleep เพื่อให้ทำงานเงียบยิ่งขึ้น
5. ค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนแผ่นกรอง
แผ่นกรองเป็นค่าใช้จ่ายระยะยาว ควรตรวจสอบ
- ราคาไส้กรอง
- อายุการใช้งานกี่เดือน
- หาซื้อได้ง่ายหรือไม่
เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาใช้เครื่องไม่ได้เพราะหาอะไหล่ไม่ได้
6. ฟังก์ชันเสริมที่ควรมี
ฟังก์ชันบางอย่างช่วยให้การใช้งานสะดวกขึ้น เช่น
- เซนเซอร์วัดคุณภาพอากาศแบบ Real-time
- ระบบปรับลมอัตโนมัติ
- ไฟแสดงสถานะ PM 2.5
- การเชื่อมต่อผ่านแอป
- ตั้งเวลาปิด-เปิดอัตโนมัติ
เลือกตามความจำเป็นเพื่อไม่ให้จ่ายเกินความต้องการ
7. การประหยัดพลังงาน
เครื่องฟอกอากาศต้องเปิดหลายชั่วโมงต่อวัน การเลือกเครื่องที่ประหยัดไฟหรือได้รับฉลากประหยัดพลังงานจะช่วยลดค่าใช้จ่ายระยะยาวได้มาก
8. ความน่าเชื่อถือของแบรนด์และรีวิวผู้ใช้จริง
ควรเช็ครีวิวจากผู้ใช้งานจริงก่อนตัดสินใจ เพื่อดูประสิทธิภาพจริง การบริการหลังการขาย และปัญหาที่พบบ่อยของรุ่นนั้น ๆ
สรุป
การเลือกเครื่องฟอกอากาศที่เหมาะสมควรคำนึงถึงพื้นที่ใช้งาน ประสิทธิภาพการกรอง ความเงียบ ค่าใช้จ่ายระยะยาว และฟังก์ชันเสริมที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคุณ เมื่อเลือกเครื่องที่ถูกต้อง จะช่วยให้บ้านมีอากาศสะอาดขึ้น ลดฝุ่น กลิ่น และสารก่อภูมิแพ้ ทำให้ทุกคนในบ้านหายใจได้อย่างสบายและปลอดภัยมากขึ้น