สมาคมไทยรับสร้างบ้าน (Thai Home Builders Association: THBA) รายงานผลกระทบจากกรณีอื้อฉาวของตลาดรับสร้างบ้านหลังจากเกิดเหตุการณ์การรวมตัวของผู้บริโภคจำนวนมาก เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับบริษัทรับสร้างบ้านรายหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ประกอบการที่มีเครือข่ายสาขาจำนวนมาก โดยข้อมูล ณ เดือนกันยายน 2568 ระบุว่ามีกลุ่มผู้เสียหายกว่า 163 คน จากทั่วประเทศได้รวมตัวกันร้องเรียนต่อกองบังคับการปราบปราม และกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค ขอบเขตของความเสียหายที่ประเมินมูลค่าก่อสร้างรวมสูงถึง 300 ล้านบาท ข้อกล่าวหาหลักที่ผู้เสียหายร้องเรียน มีพฤติการณ์ที่เป็นรูปแบบเดียวกัน ได้แก่ การทิ้งงาน บริษัทถูกกล่าวหาว่าหยุดการก่อสร้างหลังจากที่ได้เบิกเงินงวดส่วนใหญ่ไปแล้ว การก่อสร้างล่าช้า ผู้เสียหายรายหนึ่งระบุว่าสัญญาจ้างก่อสร้างบ้านมูลค่า 4.7 ล้านบาท มีกำหนดส่งมอบบ้านในเดือนกุมภาพันธ์ 2566 แต่ ณ เดือนกันยายน 2568 (ล่าช้ากว่า 1 ปี 7 เดือน) บ้านที่ได้ยังคงเป็นเพียงโครงสร้างโล่งไม่มีหน้าต่างหรือประตูและไม่มีช่างเข้าทำงาน บางกรณีพบว่ามีการดองงานนานถึง 4 ปี และการก่อสร้างไม่ได้มาตรฐาน นอกเหนือจากการทิ้งงาน ยังมีข้อร้องเรียนเกี่ยวกับโครงสร้างบ้านที่ไม่ได้มาตรฐานตามแบบที่ตกลงไว้
สมมติฐานเชิงวิเคราะห์ "สงครามราคา" (Price War) ในฐานะรากเหง้าของปัญหา
วิเคราะห์วิกฤตการณ์ครั้งนี้ ชี้ให้เห็นว่าปัญหาอาจไม่ได้เกิดจากเจตนาฉ้อโกงตั้งแต่เริ่มต้น แต่เป็นผลพวงมาจากความล้มเหลวของโมเดลธุรกิจ (Business Model Failure) ที่นำไปสู่พฤติกรรมการฉ้อโกงภายหลัง ในกรณี 200 ครัวเรือน สร้างบ้านไม่ได้บ้าน ซึ่งเข้ากับกลยุทธ์การตลาดที่อันตราย คือการใช้ "สงครามราคา" (Price War) โดยการเสนอราคาค่าก่อสร้างต่อตารางเมตรในระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยตลาดอย่างมาก เพื่อดึงดูดผู้บริโภคกลุ่มที่มีงบประมาณจำกัดและใช้ราคาเป็นปัจจัยหลักในการตัดสินใจ ซึ่งกระบวนการที่นำไปสู่การล่มสลายสามารถอธิบายได้ดังนี้:
- การตั้งราคาที่ไม่ยั่งยืน (Unsustainable Pricing) ผู้ประกอบการเสนอราคาที่ต่ำกว่าต้นทุนที่แท้จริงหรือมีอัตราค่าดำเนินงานและกำไรที่ต่ำมาก จนไม่สามารถรับมือกับความผันผวนของต้นทุนวัสดุหรือค่าแรงได้
- วิกฤตสภาพคล่อง (Cash Flow Crisis) เมื่อโครงการเริ่มดำเนินงาน ต้นทุนจริงสูงกว่าราคาที่รับงานไว ทำให้ประสบภาวะขาดสภาพคล่องทางการเงินอย่างรุนแรง
- การลดต้นทุนจนเสียมาตรฐาน เพื่อรักษาอัตรากำไร ผู้ประกอบการจำเป็นต้องลดต้นทุนอย่างหนัก นำไปสู่การใช้วัสดุเกรดต่ำกว่าข้อตกลงหรือใช้ช่างที่ขาดทักษะฝีมือ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพและมาตรฐานของบ้านลูกค้า
- การใช้กลไกแบบ Ponzi (Ponzi-like Mechanic) เพื่อให้สามารถดำเนินต่อไปงานต่อไปได้ จำเป็นต้องเร่งปิดการขายลูกค้ารายใหม่ (โดยใช้ราคาต่ำเป็นตัวล่อ) เพื่อนำเงินมัดจำ (Deposit) และเงินงวดแรกของลูกค้ารายใหม่ มาหมุนเวียนจ่ายค่าแรงและวัสดุโครงการเก่าที่กำลังประสบปัญหา
- การล่มสลายของวงจร เมื่อวงจรนี้พังทลายลง (เช่น ไม่สามารถหาลูกค้ารายใหม่ได้เร็วพอ หรือโครงการเก่าเกิดปัญหาก่อสร้างที่ต้องแก้ไขจำนวนมากจนเงินหมุนไม่ทัน) ผู้ประกอบการจึงขาดสภาพคล่อง และการก่อสร้างหยุดชะงักทุกโครงการพร้อมกัน นำไปสู่การ "ทิ้งงานในที่สุด"
ประเมินผลกระทบต่อความเชื่อมั่นกับ "การตอกย้ำ" ไม่ใช่ "การสร้างใหม่"
ผลกระทบที่รุนแรงที่สุดของคดีตัวอย่างที่กล่าวถึงนี้ไม่ใช่การสร้างความกลัวใหม่ในตลาด แต่คือการยืนยันว่าความกลัวที่ผู้บริโภคมีอยู่เดิมนั้นเป็นเรื่องจริงและเลวร้ายยิ่งกว่าที่คิด ในบริบทเดิมของตลาดรับสร้างบ้านนั้นเต็มไปด้วยความไม่ไว้วางใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว โดยเว็บบอร์ดสาธารณะเต็มไปด้วยกระทู้เตือนภัย ตัวอย่างเช่น กลโกงของรับสร้างบ้าน, บทเรียนเตือนภัย จ้างบริษัทรับสร้างบ้านที่มีดีแค่การตลาด, และการตั้งคำถามเชิงโครงสร้างว่า "ทำไมวงการก่อสร้างถึงมีเรื่องทิ้งงานบ่อยมาก" ผลกระทบที่เกิดขึ้นจึงเป็นผลกระทบเชิงจิตวิทยาลำดับที่สอง (Second-Order Effect)
- ความเชื่อเดิม ในอดีตผู้บริโภคเชื่อว่าปัญหาการทิ้งงานมักเกิดขึ้นกับ "ผู้รับเหมารายย่อย" หรือ "ช่างท้องถิ่น" ที่ไม่มีระบบการจัดการ
- กลยุทธ์ลดความเสี่ยงเดิม ผู้บริโภคส่วนใหญ่จึงตัดสินใจยอมจ่ายแพงกว่า เพื่อเลือกใช้บริการ "รับสร้างบ้านรายใหญ่" ที่มีชื่อเสียง มีการตลาดที่น่าเชื่อถือ มีหลายสาขาและคาดหวังความเป็นมืออาชีพ
- การทำลายกลยุทธ์ "รับสร้างบ้านตัวอย่างรายนี้" ซึ่งถูกรับรู้จากผู้บริโภคในฐานะ "ผู้ประกอบการรายใหญ่รายหนึ่ง" ได้ทำลายกลยุทธ์การลดความเสี่ยงนี้อย่างสิ้นเชิง
- ข้อสรุปใหม่ ข้อสรุปที่ผู้บริโภคได้รับคือ "แม้แต่บริษัทที่คิดว่าใหญ่ก็เชื่อถือไม่ได้" สิ่งนี้สร้างสภาวะ "วิกฤตศรัทธา" (Crisis of Faith) ที่ลึกซึ้งกว่าเดิมอย่างมาก
ผลกระทบต่อกระบวนการตัดสินใจ "อัมพาต" และ "การตลาดใต้ดิน"
วิกฤตศรัทธานี้ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อกระบวนการตัดสินใจของผู้บริโภคที่ตั้งใจเก็บเงินมานานเพื่อสร้างบ้าน กลับไม่กล้าตัดสินใจเลือกบริษัทใดเลย ยิ่งไปกว่านั้นยังเกิดผลกระทบเชิงพฤติกรรมที่ซ่อนเร้น และอันตรายตลาดรับสร้างบ้านโดยรวม นั่นคือการทำลายความน่าเชื่อถือของข้อมูลสาธารณะ (The Chilling Effect & The Rise of "Dark Social")
- ข้อมูลสาธารณะที่ถูกกรอง สิ่งนี้บ่งชี้ถึงกลยุทธ์ "การฟ้องปิดปาก" หรือการข่มขู่ทางกฎหมาย (Legal Harassment) เพื่อลบการวิจารณ์เชิงลบออกจากพื้นที่สาธารณะ ทำให้ผู้บริโภครายใหม่ที่เข้ามาค้นหาข้อมูลมองไม่เห็นและเข้าใจผิดว่าบริษัทดังกล่าวมีประวัติที่โปร่งใส
- การเสื่อมค่าของการตลาดดิจิทัล: เมื่อผู้บริโภคตระหนักว่าข้อมูลสาธารณะ (เช่น เพจ Facebook, รีวิวบนเว็บไซต์) ถูกควบคุม บิดเบือน หรือถูกลบออกด้วยกระบวนการทางกฎหมาย พวกเขาจึงเลิกเชื่อถือการตลาดแบบเปิด (Public Marketing)
- พฤติกรรมการหาข้อมูลจึงเปลี่ยนไปพึ่งพา "Dark Social" หรือ "การตลาดใต้ดิน" (ช่องทางส่วนตัว) ผู้บริโภคที่กำลังตัดสินใจจะเข้าไปตั้งกระทู้ของ "ประสบการณ์แย่ ๆ" และร้องขอให้ผู้มีประสบการณ์ส่งข้อมูล "หลังไมค์" (Private Message) ซึ่งเป็นข้อมูลที่พวกเขาเชื่อว่าจริงแท้และไม่ถูกกรอง (แต่ก็ไม่ใช่วิธีที่ยืนยันได้เสมอไป)
ผลกระทบที่ตามมาคือ บริษัทรับสร้างบ้านที่มีจรรยาบรรณและดำเนินงานอย่างมีคุณภาพ จะไม่สามารถใช้การตลาดแบบเดิม ๆ หรือการแสดงผลงานที่สวยงาม เพื่อสร้างความแตกต่างและความน่าเชื่อถือได้อีกต่อไป ในขณะที่ผู้บริโภคต้องใช้ความพยายามสูงขึ้นอย่างมากในการค้นหาความจริง
ภูมิทัศน์ตลาดที่เปลี่ยนไปกับการปรับตัวของผู้บริโภคและอุตสาหกรรม
การปรับกระบวนทัศน์ของผู้บริโภคจาก "ราคา" สู่ "การตรวจสอบเชิงลึก" (Vetting)
สมาคมไทยรับสร้างบ้าน ประเมินว่าวิกฤตการณ์ครั้งนี้กำลังบังคับให้ผู้บริโภค ต้องปรับเปลี่ยนการเลือกผู้ประกอบการอย่างมีนัยสำคัญ โดยเปลี่ยนจากมุ่งเน้น "ราคาถูก" (ซึ่งเป็นเหยื่อของกลยุทธ์สงครามราคา) ไปสู่การมองหา "ความน่าเชื่อถือที่ตรวจสอบได้" (Verifiable Trust) พฤติกรรมนี้สะท้อนผ่านการที่ผู้บริโภคเริ่มมองหาเครื่องมือที่เป็นมาตรฐาน และการพึ่งพาคำแนะนำจากผู้มีประสบการณ์จริง เพื่อคัดกรองผู้ประกอบการ ภาคธุรกิจรับสร้างบ้าน ควรมีความเคลื่อนไหวเพื่อกอบกู้วิกฤตศรัทธาควรดำเนินการสื่อสารเชิงรุก โดยการเผยแพร่คำแนะนำเพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติให้แก่ผู้บริโภค เช่น "เช็กลิสต์" (คำแนะนำการตรวจสอบเบื้องต้น) "สัญญา" (ที่ต้องเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย) "งวดงานต้องสัมพันธ์กับงวดเงิน" (ขจัดปัญหาเบิกเงินเกินงานจริง) ฯลฯ อย่างไรก็ตามวิกฤตนี้จะผลักดันให้ผู้บริโภคที่ตื่นตัวและมองหาความปลอดภัย เริ่มหันไปหาบริษัทที่มีจรรยาบรรณและดำเนินงานอย่างมีคุณภาพมากขึ้น ในขณะเดียวกันบริษัทรับสร้างบ้านก็จะถูกกดดันอย่างหนักจากสังคมให้ต้องรักษาและบังคับใช้มาตรฐานให้สูงขึ้นตามมา
มาตรการระยะยาวกับการสร้าง "มาตรฐาน" ที่จับต้องได้
สมาคมไทยรับสร้างบ้าน ตระหนักดีว่า "เช็กลิสต์" เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะฟื้นฟูศรัทธาในระยะยาว จึงได้จัดทำและนำ "คู่มือมาตรฐานการก่อสร้างบ้านพักอาศัย" (standard construction house manual) มาบังคับใช้กับสมาชิกทุกราย ควบคู่กับการใช้หลักเกณฑ์ความเป็นบริษัทรับสร้างบ้านที่มีจรรยาบรรณและดำเนินงานอย่างมีคุณภาพ โดยคู่มือฯ จะระบุรายละเอียดที่เป็นรูปธรรม ตั้งแต่การเตรียมงาน มาตรฐานวัสดุ-อุปกรณ์, มาตรฐานกระบวนการก่อสร้างทุกขั้นตอน, มาตรฐานการตรวจสอบคุณภาพ, ไปจนถึงผลการตรวจและการปรับปรุงแก้ไขให้ถูกต้องตามมาตรฐานการก่อสร้าง รวมถึงการดำเนินธุรกิจที่อยู่ในระบบภาษีอย่างถูกต้อง เป็นต้น การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงที่จำเป็นของภาคธุรกิจรับสร้างบ้าน จากเดิมที่อาศัย "การตลาดบนความเชื่อมั่น" (Trust-based Marketing) เช่น เชื่อในชื่อเสียงของแบรนด์ไปสู่ "การตลาดบนมาตรฐานที่ตรวจสอบได้" (Standard-based Marketing) เช่น ตรวจสอบได้ว่าบริษัทปฏิบัติตามมาตรฐานกลางของสมาคมฯ
ข้อเสนอแนะเชิงกลยุทธ์เพื่อการฟื้นฟูความเชื่อมั่นอย่างยั่งยืน
หากมองการแก้ไขวิกฤตศรัทธาและป้องกันปัญหาเชิงโครงสร้างในระยะยาว จำเป็นต้องมีมาตรการเชิงกลยุทธ์ที่ครอบคลุมทั้ง 3 ภาคส่วนหลัก
- สำหรับผู้บริโภค (มาตรการเชิงป้องกัน - Proactive Prevention)
ผู้บริโภคต้องเปลี่ยนบทบาทจาก "ผู้ซื้อ" (Buyer) ไปเป็น "ผู้ตรวจสอบ" (Auditor)
- ยกระดับการตรวจสอบ (Due Diligence) ให้เหนือกว่าเช็กลิสต์
- "เช็กลิสต์" เป็นแค่จุดเริ่มต้น แต่ยังไม่เพียงพอที่จะป้องกันความเสี่ยงจาก "สงครามราคา"
- ผู้บริโภคต้องตรวจสอบ "สุขภาพทางการเงิน" (Financial Health) ของบริษัทรับสร้างบ้าน (เช่น ตรวจสอบประวัติการชำระหนี้) เพื่อประเมินความเสี่ยงที่บริษัทจะล้มละลายจากโมเดลธุรกิจที่ตั้งราคาต่ำเกินจริง
- ต้องขอ "ตรวจสอบผลงานจริง" โดยการ "ขอชมบ้านตัวอย่าง" หรือ "สอบถามลูกค้าเก่า" โดยตรง ไม่ใช่เพียงการดูภาพถ่ายที่ผ่านการคัดเลือกมาแล้วในเพจ Facebook หรือเว็บไซต์
- "ติดอาวุธ" ด้วยความรู้ทางกฎหมาย (Legal Literacy)
- ผู้บริโภคต้องตระหนักว่าตนเองได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ได้ออก "ประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่อง ให้ธุรกิจการรับจ้างก่อสร้างอาคารเพื่อการอยู่อาศัยเป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ. 2559"
- ผู้บริโภคต้องใช้ประกาศฉบับนี้เป็น "เช็กลิสต์ทางกฎหมาย" เพื่อตรวจสอบร่างสัญญาทุกฉบับ ก่อนลงนาม
- การทดสอบสัญญาณอันตราย (The Red Flag Test) หากบริษัทรับสร้างบ้านใด ปฏิเสธที่จะแก้ไขข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม ผู้บริโภคควรถือเป็น "สัญญาณอันตราย" (Red Flag)
- การบริหารสัญญาและการจ่ายเงินอย่างเข้มงวด
- ห้ามจ่ายเงินก้อนแรกจำนวนมาก หรือจ่ายเงินล่วงหน้าเกินความจำเป็น
- การแบ่ง "งวดเงิน" ต้องสอดคล้องกับ "งวดงาน" ที่เสร็จสมบูรณ์จริงเท่านั้น ไม่ใช่แบ่งตามระยะเวลา เพื่อป้องกันสถานการณ์ที่บริษัทเบิกเงินไปแล้ว ทิ้งงานหรือทำงานไม่คืบหน้า กลยุทธ์นี้จะช่วยตัดวงจร "เงินหมุน" ที่ผู้ประกอบการที่ขาดสภาพคล่องมักใช้ปฎิบัติ
- สำหรับภาคอุตสาหกรรม (ผู้ประกอบการ)
ผู้ประกอบการในตลาดรับสร้างบ้านต้องสร้างความเชื่อมั่นกลับคืนมาด้วยการกระทำ ไม่ใช่แค่คำพูด
- การบังคับใช้มาตรฐานอย่างจริงจัง (Mandatory Enforcement)
- ต้องเร่งผลักดัน "คู่มือมาตรฐานการก่อสร้างบ้านพักอาศัย" และประกาศใช้เป็น "ข้อบังคับ" (Mandatory) สำหรับสมาชิกทั้งหมด ไม่ใช่เพียง "แนวทาง" (Guideline)
- สร้างกลไกประกันความเสี่ยง (Risk Mitigation Mechanism)
- กระบวนการทางกฎหมายในปัจจุบันนั้น ช้าเกินไปและไม่สามารถเยียวยาผู้เสียหายที่บ้านสร้างไม่เสร็จได้ทันท่วงที
- ควรผลักดันให้มีการใช้ "บัญชีกลาง" (Escrow Account) เป็นมาตรฐานสำหรับสัญญาก่อสร้างที่มีมูลค่าสูง โดยเงินงวดของผู้บริโภคจะถูกเก็บไว้ที่บุคคลที่สาม (เช่น สถาบันการเงิน) และจะถูกปล่อยให้ผู้รับเหมาก็ต่อเมื่อผู้บริโภคและตัวแทนธนาคารได้ลงนามอนุมัติว่างานในงวดนั้นเสร็จสิ้นตามมาตรฐานจริง กลไกนี้จะตัดวงจร "เงินหมุน" และปกป้องผู้บริโภคจากการทิ้งงานได้เกือบ 100%
- ยกระดับความโปร่งใส (Radical Transparency)
- ควรสร้างฐานข้อมูลสาธารณะ (Public Database) ที่ผู้บริโภคสามารถเข้ามาตรวจสอบ "สถานะสมาชิก" และประวัติการร้องเรียนที่ได้รับการยืนยันแล้ว(Verified Complaint History) ของสมาชิกแต่ละรายได้แบบ Real-time
- บริษัทสมาชิกควรแสดงความโปร่งใสทางการเงิน เพื่อสร้างความมั่นใจว่าไม่ได้อยู่ในภาวะเสี่ยงล้มละลาย
- สำหรับภาครัฐ (สคบ. และหน่วยงานกำกับดูแล)
ภาครัฐต้องเปลี่ยนบทบาทจากการเป็นผู้ไกล่เกลี่ยหลังเกิดเหตุ ไปเป็นผู้กำกับดูแลเชิงป้องกัน
- เปลี่ยนจาก "ตั้งรับ" (Reactive) เป็น "เชิงรุก" (Proactive)
- สถิติของ สคบ. ที่ระบุว่ามีเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการก่อสร้างสูงถึง 297 เรื่องในปี 2568 (เพียงปีเดียว) แสดงให้เห็นว่าปัญหานี้เป็นปัญหาวงกว้างและเกิดขึ้นซ้ำซาก
- แทนที่จะรอรับเรื่องร้องเรียนจากผู้เสียหาย สคบ. ควรใช้อำนาจตามกฎหมายในการ "ตรวจสอบเชิงรุก" (Proactive Audits) โดยสุ่มตรวจสอบ "สัญญามาตรฐาน" ของบริษัทรับสร้างบ้านในตลาดว่ามีการใช้ข้อสัญญาที่ขัดต่อ "ประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา พ.ศ. 2559" หรือไม่ ก่อนที่ผู้บริโภคจะตกเป็นเหยื่อ
- สร้าง "ทะเบียนกลางผู้รับเหมา" (Central Contractor Registry) และบัญชีดำ (Blacklist)
- ปัญหาหลักในปัจจุบันคือ ผู้ประกอบการที่ทิ้งงานสามารถปิดบริษัทเก่าและเปิดบริษัทใหม่ในชื่ออื่น (ที่เรียกว่า Phoenix Company) เพื่อหลอกลวงผู้บริโภคต่อไปได้ไม่รู้จบ
- ภาครัฐควรจัดทำ "ทะเบียนกลาง" ที่ไม่เพียงแต่บันทึกประวัติของ "นิติบุคคล" แต่ต้องเชื่อมโยงประวัติการถูกฟ้องร้อง, การทิ้งงาน, หรือการล้มละลาย เข้ากับ "ชื่อของกรรมการบริษัท" ด้วย
- ระบบนี้จะช่วยให้ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบได้ว่า "เจ้าของ" หรือ "กรรมการ" ของบริษัทใหม่ที่กำลังจะจ้าง มีประวัติที่ไม่ดีจากบริษัทเก่าหรือไม่
- ปฏิรูปกระบวนการเยียวยา (Reform Redress Mechanism):
- กระบวนการไกล่เกลี่ยปกติของ สคบ. หรือศาลผู้บริโภค ซึ่งอาจใช้เวลา 2-6 เดือน นั้นช้าเกินไปสำหรับผู้เสียหายที่บ้านถูกทิ้งร้างและต้องแบกรับภาระหนี้สิน
- ควรมีการจัดตั้ง "ศาลชำนาญพิเศษ" (Special Tribunal) หรือกระบวนการอนุญาโตตุลาการแบบเร่งด่วน (Fast-Track Arbitration) สำหรับคดีทิ้งงานก่อสร้างโดยเฉพาะ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้เสียหายได้รับการชดเชยหรือคำสั่งศาลที่เป็นรูปธรรมภายใน 30-45 วัน
บทสรุป
วิกฤตการณ์นี้เกี่ยวข้องกับการที่ผู้บริโภคกว่า 200 ราย ดำเนินการแจ้งความดำเนินคดีกับบริษัทรับสร้างบ้าน ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการรับสร้างบ้านที่ผู้บริโภคมองว่าเป็นรายใหญ่ ด้วยปรากฎภาพเผยแพร่โฆษณาในสื่อโซเชียลมากเป็นลำดับต้น ๆ ของภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านทั่วประเทศ ถือเป็นเหตุการณ์สั่นสะเทือนภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่ง
รายงานวิเคราะห์ฉบับนี้ประเมินว่าเหตุการณ์ดังกล่าว ไม่ได้เป็นเพียงปัญหาของบริษัทรับสร้างบ้านแค่รายเดียว แต่ทำหน้าที่เป็น "ตัวเร่งปฏิกิริยา" (Catalyst) ที่ตอกย้ำและขยายผลความกังวลหรือกลัว และความไม่ไว้วางใจที่ฝังรากลึกกับการว่าจ้างก่อสร้างบ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการล่มสลายของบริษัทรับสร้างบ้านที่ผู้บริโภคมองว่าเป็นรายใหญ่ ได้ทำลายกลยุทธ์การลดความเสี่ยงหลักของผู้บริโภค (คือการเลือกใช้บริษัทรายใหญ่แทนผู้รับเหมารายย่อย) ผลกระทบที่เกิดขึ้นขยายวงกว้าง และทำลายความน่าเชื่อถือของข้อมูลสาธารณะในอุตสาหกรรมรับสร้างบ้าน
ข้อเสนอแนวทางการฟื้นฟูความเชื่อมั่นเชิงกลยุทธ์แบบ 3 ประสาน ได้แก่ (1) การเสริมอำนาจผู้บริโภค ผ่านการยกระดับความรู้ทางกฎหมายเกี่ยวกับสัญญา (Legal Literacy) และการตรวจสอบเชิงลึก (Due Diligence) ที่เข้มงวด (2) การยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมรับสร้างบ้าน โดยต้องผลักดันมาตรฐานวิชาชีพและกลไกประกันความเสี่ยงใหม่ เช่น บัญชีกลาง (Escrow Account) (3) การปฏิรูปบทบาทภาครัฐ (สคบ.) จาก "การตั้งรับ" (Reactive) ไปสู่ "การกำกับดูแลเชิงรุก" (Proactive) ผ่านการตรวจสอบสัญญาและการจัดทำบัญชีดำผู้ประกอบการ (Blacklist)
รายงานฉบับนี้ สมาคมฯ มิได้มีเจตนาจะกล่าวให้ร้ายหรือตำหนิติติงองค์กรหรือหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งเป็นการเฉพาะ หากแต่นำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาเรียบเรียงถึงผลกระทบในด้านต่าง ๆ เพื่อให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเห็นถึงความสำคัญต่อการพัฒนาและยกระดับอุตสาหกรรมรับสร้างบ้าน ซึ่งจำเป็นจะต้องตระหนักและตื่นตัวให้มาก ๆ สำหรับการดำเนินธุรกิจต่อไปในอนาคตได้อย่างยั่งยืน