"จากสถานการณ์น้ำทะเลหนุนสูงในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่งผลให้ค่าความเค็มในแม่น้ำเจ้าพระยาเพิ่มสูงขึ้น จึงมีความห่วงใยต่อพี่น้องเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ รวมถึงประชาชนในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ที่อาจจะได้รับผลกระทบจากค่าความเค็มที่เพิ่มขึ้นในน้ำดิบที่นำไปผลิตน้ำประปาของการประปานครหลวง ทำให้บางช่วงเวลาน้ำประปามีรสชาติที่เปลี่ยนแปลงไป ดังนั้น เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น จึงสั่งการให้กรมชลประทาน เพิ่มการระบายน้ำจากทางตอนบน เพื่อเจือจางค่าความเค็ม ช่วยลดผลกระทบที่จะเกิดกับประชาชน โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล" ดร.เฉลิมชัยฯ กล่าว
ด้าน นายสัญญา แสงพุ่มพงษ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมชลประทาน กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมชลประทาน ได้เพิ่มการระบายน้ำจากเขื่อนพระรามหก เดิมระบาย 20 ลบ.ม./วินาที เป็น 25 ลบ.ม./วินาที ตั้งแต่วานนี้ (31 ม.ค. 64) และจะทยอยปรับการระบายเพิ่มขึ้นเป็น 30 ลบ.ม./วินาที ไปจนถึงวันที่ 2 ก.พ. 64 เพื่อประหยัดน้ำต้นทุน พร้อมกันนี้ได้เพิ่มการระบายน้ำจากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จาก 35 ลบ.ม./วินาที เป็น 45 ลบ.ม./วินาที ตั้งแต่วันที่ 30 ม.ค. - 2 ก.พ. 64 เพื่อไม่ให้กระทบต่อการใช้น้ำในพื้นที่ตอนบน ทั้งนี้ เพื่อให้การควบคุมค่าความเค็มเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดและมีผลสัมฤทธิ์เป็นรูปธรรม จึงขอความร่วมมือประตูระบายน้ำและสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าทุกแห่งที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่ท้ายเขื่อนเจ้าพระยาลงมาจนถึงปากอ่าวไทย ให้งดการรับน้ำหรือสูบน้ำในระยะนี้
"ได้สั่งการให้โครงการชลประทานที่เกี่ยวข้องเฝ้าระวัง และติดตามสถานการณ์ค่าความเค็มในแม่น้ำสายหลักต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด รวมถึงวางแผนบริหารจัดการน้ำโดยใช้อาคารชลประทานควบคุมการรับน้ำ เพื่อป้องกันความเค็มไม่ให้รุกล้ำเข้าไปในพื้นที่การเกษตร ลดผลกระทบที่จะเกิดกับประชาชนให้ได้มากที่สุด" นายสัญญาฯ กล่าว.
ที่มา: สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์