น.ส.เกา เหยียน ประธาน CCPIT ได้เสนอคำแนะนำ 3 ข้อในระหว่างการกล่าวปาฐกถา ประกอบด้วย การสนับสนุนบริษัทต่าง ๆ ในภูมิภาคให้ใช้ฉันทามติในการเปิดตลาด พร้อมทั้งปฏิบัติตามกฎกติกาเพื่อส่งเสริมการพัฒนาการค้าและการลงทุนอย่างมีคุณภาพ การปรับปรุงความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมการผลิตในท้องถิ่น และการเดินหน้าพัฒนาบริการเพื่อสนับสนุนบริษัทต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง
กว่างซีเป็นผู้มีส่วนร่วมและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างจีนและประเทศสมาชิก RCEP นายหลาน เทียนลี่ ผู้ว่าการเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง เปิดเผยว่า ปริมาณการค้าของกว่างซีกับกลุ่มประเทศ RCEP เพิ่มขึ้น 3.4 เท่า จาก 8.8 พันล้านดอลลาร์ในปี 2553 เป็น 3.9 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2563 ภูมิภาค RCEP ได้กลายเป็นจุดหมายปลายทางการลงทุนในต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดของกว่างซี และเป็นแหล่งที่มาของ FDI ที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสาม
ด้านนายลิม จ๊อก ฮอย เลขาธิการอาเซียน กล่าวว่า RCEP จะเป็นตัวเร่งให้ภูมิภาคฟื้นตัวจากเศรษฐกิจที่ตกต่ำ ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องทำให้แน่ใจว่า RCEP จะดำเนินไปตามวัตถุประสงค์ นั่นคือการนำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ทุกประเทศ
นายสินิตย์ เลิศไกร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวผ่านทางระบบวิดีโอว่า ไทยและจีนสามารถแบ่งปันผลของความร่วมมือพหุภาคีผ่าน RCEP ซึ่งเป็นระบบความร่วมมือพหุภาคีที่มีความหลากหลายทางโครงสร้างของสมาชิกมากที่สุด สำหรับในอนาคตนั้น RCEP จะช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างไทยและจีนให้ก้าวหน้าต่อไป
ในโอกาสนี้ ได้มีการเปิดตัว RCEP Business Advisory Council และ RCEP Enterprise Service Centers ภายใต้หอการค้านานาชาติกว่างซี ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่สถาบันส่งเสริมการค้าและการพาณิชย์ของจีนได้จัดตั้งศูนย์บริการองค์กรธุรกิจที่ครอบคลุมในกลุ่มประเทศ RCEP โดยมีเป้าหมายเพื่อให้เป็นจุดบริการแบบครบวงจรสำหรับการค้าและการลงทุนระหว่างกว่างซีและประเทศสมาชิก RCEP รวมถึงการให้บริการจับคู่ธุรกิจที่แม่นยำ
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้เผยแพร่Business Community Initiative on Jointly Promoting the Regional Comprehensive Economic Partnership (RCEP) Cooperation และ e-Book on RCEP เพื่อสนับสนุนการดำเนินการ RCEP
รูปภาพ:
https://mma.prnewswire.com/media/1721096/ASEAN_Secretary_General_Lim_Jock_Hoi_remarks.jpg