โดยคุณศุภรัฒศ์ ได้อธิบายว่าความแตกต่างระหว่างปัญญาโดย "ธรรมชาติ" และ "ประดิษฐ์" คือ "เจตนา" โดยได้ยกตัวอย่างคำพิพากษาฎีกาสหรัฐอเมริกาเมื่อนานมาแล้ว ซึ่งได้ตัดสินให้มะเขือเทศซึ่งตามหลักทางวิทยาศาสตร์แล้ว อยู่ในหมวดหมู่ของผลไม้ ให้ตกอยู่ในหมวดหมู่ของพืชผักเพื่อให้ลดภาษีนำเข้า ในการยกตัวอย่างนี้ เขาตั้งข้อสังเกตว่าข้อมูลพื้นฐานเหมือนกัน แต่เจตนาในการใช้ข้อมูลนั้นแตกต่างกัน และนั่นเป็นมุมมองที่ช่วยให้เราเข้าใจ AI นอกจากนี้ยังอธิบายถึงความแตกต่างระหว่าง Machine Learning (ML), Reinforced Learning (RL) และ Deep Learning (DL) ไปจนถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ที่ทำให้ AI ก้าวหน้ามากขึ้น
ดร. อรทัย ได้อธิบายว่าแนวคิด AI มีอยู่มานานหลายทศวรรษ แต่เพิ่งจะกลายมาเป็นจริงได้อย่างเหลือเชื่อด้วยพลังความสามารถในการคำนวณของเครื่องในปัจจุบัน ความท้าทายในการใช้งาน AI คือการทำให้มั่นใจได้ในคุณภาพของชุดข้อมูลและการสร้างชุดคำสั่งที่ไม่ลำเอียงสามารถตอบโจทย์กรณีศึกษาที่ทางปฏิบัติได้จริง ซึ่งดร. อรทัย ได้กล่าวว่าที่มหาวิทยาลัยซีเอ็มเคแอลมีโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ที่เร็วที่สุดในอาเซียน และในปี 2565 เราจะเริ่มเปิดสอนหลักสูตรปริญญาตรีสาขาวิศวกรรม AI ด้วยเช่นกัน ในระหว่างการสนทนา ได้มีการอ้างถึงกรณีการใช้งาน AI ที่น่าสนใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็นกรณีสำหรับองค์กรขนาดใหญ่หรือการตอบสนองความต้องการของบริษัทขนาดเล็ก "AI as a Service" จะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น และจะนำไปประยุกต์ใช้กับเทคโนโลยีอื่นๆ เช่น blockchain เพื่อเพิ่มความโปร่งใส
เราต่างเห็นด้วยกับประเด็นสำคัญที่วิทยากรทั้งสองท่านได้กล่าวมาถึงพลังของ AI ที่สามารถนำไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพในทุกอุตสาหกรรมหากมีข้อมูลที่ถูกต้องภายในระยะเวลาที่ต้องการ รวมทั้งการมีทรัพยากรบุคคลที่มีทักษะและแนวคิดที่ถูกต้องที่พร้อมใช้งานด้วย ทางด้านรัฐบาลเองก็สามารถมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมกับเรื่องนี้โดยการจัดหา 'วัตถุดิบ' ในรูปแบบของชุดข้อมูลแบบเปิด ในการดึงข้อมูลที่มีคุณค่าในเชิงลึกเพื่อให้ใช้ในทางที่สร้างสรรค์และเหนือความคาดหมาย
สามารถฟังการบรรยายฉบับเต็มได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=1TAT4eoq00I
ที่มา: มายด์ พีอาร์