กลุ่ม KTIS โชว์กำไรสุทธิงวด 9 เดือนปี 66 ทำได้ 1,510 ล้านบาท โตแรง 379% ชี้อัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นมาก จากคุณภาพอ้อย ราคา และยอดขายที่สูงขึ้น

พฤหัส ๓๑ สิงหาคม ๒๐๒๓ ๑๓:๐๗
กลุ่ม KTIS เปิดเผยผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรก ปี 2566 สิ้นสุด 30 มิถุนายน 2566 เติบโตกว่างวดเดียวกันของปี 2565 ถึง 378.9% โดยมีกำไรสุทธิ 1,510.2 ล้านบาท และมีรายได้รวม 15,948.1 ล้านบาท สูงกว่างวดเดียวกันของปีก่อน 4,599.1 ล้านบาท ชี้ปริมาณและคุณภาพอ้อยที่ดีขึ้นกว่าปีก่อน ส่งผลบวกต่อทุกสายธุรกิจ โดยรายได้สายธุรกิจน้ำตาลเติบโต 45.1% สายธุรกิจเยื่อกระดาษชานอ้อยเติบโต 51.4% สายธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงชีวมวลเติบโต 72.4%
กลุ่ม KTIS โชว์กำไรสุทธิงวด 9 เดือนปี 66 ทำได้ 1,510 ล้านบาท โตแรง 379% ชี้อัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นมาก จากคุณภาพอ้อย ราคา และยอดขายที่สูงขึ้น

นายสมชาย สุวจิตตานนท์ ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือกลุ่ม KTIS ผู้นำในอุตสาหกรรมน้ำตาลและอุตสาหกรรมต่อเนื่องครบวงจร เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของกลุ่ม KTIS งวด 9 เดือนแรก ปี 2566 (ตุลาคม 2565 - มิถุนายน 2566) มีรายได้รวม 15,948.1 ล้านบาท สูงกว่างวดเดียวกันของปีก่อน 4,599.1 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 40.5% และมีกำไรสุทธิ 1,510.2 ล้านบาท สูงกว่างวดเดียวกันของปีก่อน 1,194.9 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 378.9%

"เราสามารถทำอัตรากำไรขั้นต้นและอัตรากำไรสุทธิได้สูงขึ้นอย่างน่าพอใจ โดยอัตรากำไรขั้นต้น งวด 9 เดือนแรกปี 2566 ทำได้ 15.4% สูงกว่าปี 2565 ซึ่งอยู่ที่ 13.2% ส่วนอัตรากำไรสุทธิเพิ่มจาก 2.9% เป็น 9.7% โดยปัจจัยหลักที่สนับสนุนการทำอัตรากำไรที่สูงขึ้นในสายธุรกิจน้ำตาลทราย มาจากคุณภาพอ้อยที่ดีขึ้นมาก ทำให้ได้ผลผลิตน้ำตาลทรายต่อตันอ้อยสูงขึ้น อีกทั้งราคาน้ำตาลทรายที่จำหน่ายในประเทศสูงขึ้นด้วย ส่วนสายธุรกิจอื่นก็สามารถทำยอดขายได้สูงขึ้น และราคาขายก็ดีขึ้นกว่าปีก่อน" นายสมชายกล่าว

ทั้งนี้ จากปริมาณอ้อยปี 2565/2566 ของกลุ่ม KTIS ที่มีจำนวน 6.9 ล้านตัน สามารถผลิตน้ำตาลทรายได้มากถึง 8 ล้านกระสอบ เทียบกับฤดูการผลิตปีก่อนหน้านั้น ซึ่งอ้อย 6.2 ล้านตัน ผลิตน้ำตาลทรายได้เพียง 6.4 ล้านกระสอบ ทำให้รายได้ในสายธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทราย 9 เดือนปี 2566 ทำได้ถึง 11,906.4 ล้านบาท เติบโต 45.1% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2565

ส่วนปัจจัยหลักที่สนับสนุนการเติบโตของอัตรากำไรในสายธุรกิจชีวภาพ มาจากราคาขายเยื่อกระดาษทั้งในประเทศและต่างประเทศที่สูงขึ้น รวมถึงราคาขายเอทานอลและไฟฟ้าก็สูงกว่าปีก่อนด้วย โดยรายได้ของสายธุรกิจเยื่อกระดาษชานอ้อยเติบโต 51.4% และสายธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงชีวมวลเติบโตสูงถึง 72.4%

"หากดูสัดส่วนรายได้ของสายธุรกิจต่างๆ เทียบกับรายได้รวมของกลุ่ม KTIS สำหรับงวด 9 เดือน ปี 2566 พบว่า สายธุรกิจน้ำตาลทรายมีสัดส่วนรายได้ 78.5% สายธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงชีวมวล มีสัดส่วน 8.4% สายธุรกิจผลิตและจำหน่ายเอทานอล มีสัดส่วน 5.5% สายธุรกิจผลิตและจำหน่ายเยื่อกระดาษชานอ้อย มีสัดส่วน 2.0% และอื่นๆ อีก 5.6%" นายสมชายกล่าว

ที่มา: ไอทูซี คอมมิวนิเคชั่นส์

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๐๔ พ.ค. Siriraj Education Expo 2024 ก้าวสู่ยุคใหม่ไปกับศิริราช พร้อมยกระดับทางการแพทย์ให้ดีขึ้น เพื่อสุขภาวะที่ดีของคนไทยทุกคน
๐๓ พ.ค. ครั้งแรก! งานเทศกาลคอนเทนต์ LGBTQ ฉลองความเท่าเทียมทางเพศ THAILAND INTERNATIONAL LGBTQ FILM TV FESTIVAL 2024 ปักหมุดเตรียมพบกัน กันยายนนี้
๐๓ พ.ค. โน วัน เอลส์ ส่ง 3 เพลงรัก 3 สไตล์! ผ่านมิวสิกซี่รีย์ ที่จะทำให้คุณเข้าใจความรักมากขึ้น
๐๓ พ.ค. ทีซีเอ็มซีมอบรางวัลประกวดการออกแบบผลงานด้านผลิตภัณฑ์อคูสติกส์
๐๓ พ.ค. GT Auto ฉลองแชมป์ยอดขาย Volvo จัดงาน มหกรรม GT Auto Show ลดสูงสุด 1,000,000 บาท พร้อมชูบริการ GT Auto Exclusive Service
๐๓ พ.ค. กทม. เตรียมพร้อมให้บริการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ในกลุ่มเสี่ยงและนักเรียนในสังกัด
๐๓ พ.ค. กรมส่งเสริมการเกษตร ประชุมคณะทำงานความร่วมมือด้านการรับรองแหล่งผลิตพืชฯ (GAP พืช) ครั้งที่ 1/2567
๐๓ พ.ค. First Sale! realme 12 5G และ realme 12X 5G สัมผัสประสบการณ์ Portrait Master กับกล้องซูม 3X in sensor
๐๓ พ.ค. CRYSTALLIZING ใหม่! โดย SHISEIDO PROFESSIONAL อัปเกรดกลุ่มผลิตภัณฑ์ยืด-ดัดผม ชูเทคโนโลยีสุดล้ำ DUAL PERFORMANCE SYSTEM
๐๓ พ.ค. บัลเลต์ รีทรีต บนเกาะมัลดีฟส์ กลับมาอีกครั้ง ที่ อวานี พลัส แฟเรส โดย คาร์ริส สการ์เลต นักเต้นบัลเลต์ชื่อดัง