นางสาวสินีนุช โกกนุทาภรณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TEGH เปิดเผยว่า TEGH ได้รับการคัดเลือกให้เข้าอยู่ในทำเนียบ "บริษัทวิถียั่งยืนที่น่าลงทุน" (ESG Emerging List) โดยอยู่ในกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 ประจำปี 2568 ซึ่งจัดทำโดยสถาบันไทยพัฒน์ นับเป็นปีแรกที่ TEGH ได้รับการจัดอันดับดังกล่าว สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานของความยั่งยืน ทั้งในมิติสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental Social and Governance: ESG) ควบคู่ไปกับการเปิดเผยข้อมูลผลการดำเนินงานอย่างโปร่งใสและต่อเนื่องสู่สาธารณะ โดย TEGH สามารถตอกย้ำบทบาทในฐานะผู้นำด้านการผลิตวัตถุดิบยางธรรมชาติ และน้ำมันปาล์มดิบ อย่างยั่งยืน (Sustainable Raw Material) รวมถึงผลิตพลังงานทดแทน และรับบริหารจัดการกากอินทรีย์แบบครบวงจรในพื้นที่ EEC
ทั้งนี้ หน่วยงาน ESG Rating ของสถาบันไทยพัฒน์ ซึ่งเป็นผู้พัฒนาข้อมูลด้านความยั่งยืนของธุรกิจในประเทศไทย และเป็นผู้จัดทำข้อมูลกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2558 ได้จัดทำรายชื่อหลักทรัพย์มีการดำเนินงานโดดเด่นด้าน ESG ประจำปี 2568 ด้วยการคัดเลือกจาก 921 บริษัท/กองทุน/ทรัสต์เพื่อการลงทุน ทำการประเมินโดยใช้ข้อมูลที่เกี่ยวกับ ESG จาก 6 แหล่ง จำนวนกว่า 17,056 จุดข้อมูล และ TEGH ได้รับคัดเลือกเป็น 1 ใน 13 หลักทรัพย์ให้เข้าอยู่ในทำเนียบ ESG100 เป็นครั้งแรกในปีนี้ ในกลุ่มหลักทรัพย์ "บริษัทวิถียั่งยืนที่น่าลงทุน" หรือ ESG Emerging List
ทั้งนี้ หลักทรัพย์กลุ่ม ESG100 ที่ได้รับคัดเลือกในปี 2568 จะใช้เป็นข้อมูลนำเข้าในการปรับหลักทรัพย์ที่เป็นองค์ประกอบของ Thaipat ESG Index ประจำปี สำหรับใช้เป็นดัชนีเปรียบเทียบผลตอบแทนจากการลงทุน (Benchmark Index) และใช้เป็นดัชนีอ้างอิงสำหรับการลงทุนแก่บริษัทจัดการลงทุนที่มีการให้บริการผลิตภัณฑ์การลงทุนในธีม ESG
"TEGH ดำเนินธุรกิจภายใต้ยุทธศาสตร์ Sustainability to Profitability โดยใช้โมเดล Thai Eastern Symbiosis ซึ่งสะท้อนถึงการบูรณาการความยั่งยืนเข้ากับการเติบโตทางธุรกิจอย่างเป็นรูปธรรม เราพิสูจน์แล้วว่า "ความยั่งยืนไม่ใช่ต้นทุน แต่คือโอกาส" ในการสร้างคุณค่าร่วมให้กับผู้มีส่วนได้เสีย พร้อมสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาว รวมถึงการบริหารความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ได้ถูกผสานไว้ในทุกกระบวนการของเรา เพื่อเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกที่ให้ความสำคัญกับ ESG มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง" นางสาวสินีนุช กล่าว
ในด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental) TEGH มุ่งมั่นลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยตั้งเป้าหมายสู่ Carbon Neutrality ภายในปี 2573 และ Net Zero Emissions ภายในปี 2593 พร้อมเดินหน้าแผนลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้สอดคล้องกับแนวทาง Science Based Targets (SBT) สนับสนุนการทำ Green Transition เพิ่มสัดส่วนพลังงานทดแทน พัฒนาระบบบริหารจัดการกากอินทรีย์อย่างครบวงจร ขยายการผลิตพลังงานชีวภาพ ลดของเสีย และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากร อีกทั้ง ยังให้ความสำคัญกับ ความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity) มีการส่งเสริมและจัดหาวัตถุดิบจากสวนเกษตรที่ไม่รุกล้ำพื้นที่ป่า และส่งเสริมเกษตรกรใช้แนวทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างความยั่งยืนให้เกิดขึ้นได้ตลอดทั้งห่วงโซ่คุณค่า
ด้านสังคม TEGH ดำเนินธุรกิจควบคู่กับการพัฒนาสังคมอย่างรับผิดชอบ โดยให้ความสำคัญกับแรงงาน สิทธิมนุษยชน ความปลอดภัย การมีส่วนร่วมของชุมชน และการพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรผ่านการส่งเสริม การทำสวนเกษตรอย่างยั่งยืนตามมาตรฐานสากล เช่น FSC, RSPO, USDA-NOP หรือ EUDR เพื่อสร้างความเข้มแข็งในห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืน ล่าสุด บริษัทฯ ได้รับการประเมิน EcoVadis ระดับเหรียญทอง สะท้อนมาตรฐานความยั่งยืนในระดับสากล ทั้งด้านแรงงาน จริยธรรม และการจัดซื้อจัดจ้างอย่างมีความรับผิดชอบ โดยในไตรมาส 1/2568 TEGH สามารถขยายสัดส่วนสินค้ายางแท่งตามข้อกำหนดของ EU Deforestation Regulation (EUDR) คิดเป็น 46.60% ของยอดขายรวม ในไตรมาส 4/2567 ช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันในตลาดยุโรป
ด้านธรรมาภิบาล (Governance) บริษัทฯ บริหารงานด้วยความโปร่งใส ยึดหลักธรรมาภิบาล และให้ความสำคัญกับความรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในทุกกลุ่ม โดยมีการเปิดเผยข้อมูลด้าน ESG อย่างต่อเนื่องและสอดคล้องกับข้อกำหนดทั้งในประเทศและสากล เช่น ข้อกำหนดของ SEC, SET, มาตรฐาน GRI, TCFD, FTSE Russell ESG Score และ IFRS S1, S2 รวมถึงมาตรฐานการรายงานด้านความยั่งยืนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ TEGH ยังนำ มิติทางการเงิน มาวิเคราะห์ความเสี่ยงและโอกาสด้าน ESG มาเป็นส่วนหนึ่งของการประเมินและกำหนดกลยุทธ์ เพื่อเสริมสร้างความยั่งยืนในเชิงธุรกิจ
ผลลัพธ์ของความมุ่งมั่นดังกล่าวสะท้อนผ่านการได้รับรางวัลและการรับรองจากหน่วยงานชั้นนำ เช่น รางวัล Best Sustainability Award จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, ได้รับการประเมิน SET ESG Rating ระดับ AAA, ได้รับการรับรอง CAC ระดับ 3 ดาว และได้รับ CGR ในระดับ 5 ดาว ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ TEGH ในการยกระดับมาตรฐาน ESG ให้เทียบเท่าระดับสากล และเป็นรากฐานของการเติบโตที่ยั่งยืนในอนาคต
สำหรับปี 2568 บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้อยู่ที่ 22,000 ล้านบาท คาดยอดขายยางแท่งปีนี้อยู่ที่ 250,000-280,000 ตัน โดยยังคงสัดส่วนยอดขายยางแท่งมาตรฐาน EUDR ที่ 30-40% ในครึ่งปีแรก และประมาณ 50% ในครึ่งปีหลัง ขณะที่ธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบจะเทิร์นอะราวด์กลับมาได้ หลังจากติดตั้งหม้อต้มไอน้ำ (Boiler) ลูกใหม่ และหม้อนึ่งปาล์มต่อเนื่อง (Sterilizer) ที่ติดตั้งเสร็จแล้ว ทำให้ประสิทธิภาพการผลิตดีขึ้น พร้อมดำเนินการทดสอบและเดินเครื่องเครื่องจักรภายในไตรมาส 3/2568 เป็นต้นไป ทำให้กำลังการผลิตน้ำมันปาล์มดิบจะเพิ่มขึ้นอีก 20% ภายในปีนี้
รวมถึงโครงการโรงไฟฟ้าจากชีวมวลที่ใช้ผลพลอยได้จากการผลิตน้ำมันปาล์มดิบเป็นเชื้อเพลิง จะช่วยลดต้นทุนค่าไฟฟ้าของบริษัทในเครือลงได้ ส่วนสายธุรกิจพลังงานทดแทนและรับบริหารจัดการกากอินทรีย์ ปีนี้รับรู้รายได้จากโครงการขยายกำลังการผลิตก๊าซชีวภาพโซน 3 เฟส 1 ได้อย่างเต็มที่ตั้งแต่ไตรมาส 1/2568 พร้อมเดินหน้าโครงการขยายกำลังการผลิตก๊าซชีวภาพ โซน 3 เฟส 2 ต่อเนื่อง