สำหรับแนวทางการดำเนินงานได้ให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่ดำเนินการประชาสัมพันธ์ให้ความรู้แก่ประชาชน เพื่อให้สามารถป้องกันตนเอง ได้แก่ หลีกเลี่ยงการว่ายน้ำ แช่น้ำ หรือลุยน้ำหากไม่จำเป็นโดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน หากจำเป็นต้องลุยน้ำ ที่ระดับน้ำไม่สูงมากนัก ควรสวมรองเท้าบูท หรือสวมถุงพลาสติกยาวหุ้มรองเท้า และใช้เชือกรัดอย่างแน่นหนา หากมีบาดแผลควรล้างทำความสะอาดและปิดด้วยพลาสเตอร์กันน้ำ ล้างมือ ล้างเท้า หรืออาบน้ำทำความสะอาดร่างกายด้วยสบู่และน้ำสะอาดทันที หลังจากลุย หรือแช่น้ำ กรณีประสบอุทกภัย การทำความสะอาดบ้านหลังน้ำลด ควรสวมถุงมือยาง รองเท้าบูท เสื้อแขนยาว และกางเกงขายาว เพื่อป้องกันบาดแผลจากการขนย้ายสิ่งของ และลดการสัมผัสดิน โคลน ดื่มน้ำที่ต้มสุก หรือน้ำขวดที่ผ่านมาตรฐาน บริโภคอาหารที่ปรุงสุกใหม่ น้ำที่ใช้อาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน ควรเป็นน้ำประปาที่มีระดับคลอรีนตามมาตรฐาน หลีกเลี่ยงการอยู่ท่ามกลางสายฝน โดยเฉพาะช่วงที่มีลมแรง หรือมีพายุ ซึ่งอาจทำให้สูดละอองดินที่ปนเปื้อนเชื้อเข้าสู่ร่างกาย รวมถึงเน้นย้ำการประชาสัมพันธ์ให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับโรคดังกล่าวและตระหนักถึงความเสี่ยง "หากประชาชนมีไข้สูงตั้งแต่ 2 วันขึ้นไป หลังสัมผัสน้ำ ดิน โคลน ควรรีบไปพบแพทย์ทันที"
ส่วนมาตรการคัดกรอง ตรวจวินิจฉัย และรักษาโรคเมลิออยโดสิส ในการคัดกรองผู้ป่วยระดับชุมชน ให้อาสาสมัครสาธารณสุข กทม. (อสส) แจ้งเตือนประชาชน หากพบผู้ที่มีอาการป่วย มีไข้ตั้งแต่ 2 วัน ร่วมกับมีประวัติสัมผัสดิน โคลน หรือน้ำ ควรรีบพบแพทย์ทันที เฝ้าระวังและคัดกรองผู้ป่วยตลอดฤดูฝน โดยเฉพาะในพื้นที่น้ำท่วม รวมทั้งควรเฝ้าระวังผู้ป่วยต่อเนื่องอย่างน้อย 3 สัปดาห์หลังน้ำลด สำหรับการคัดกรองผู้ป่วยในสถานพยาบาล หากพบผู้ป่วยมีไข้สูงตั้งแต่ 2 วัน ร่วมกับเคยเป็นโรคเมลิออยโดสิสมาก่อน หรือมีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคไตวายเรื้อรัง โรคตับเรื้อรัง โรคธาลัสซีเมียชนิดรุนแรง ติดสุราเรื้อรัง ภูมิคุ้มกันบกพร่อง ได้รับยากดภูมิเช่น Prednisolone>15 มิลลิกรัม (มก.) / วัน ต่อเนื่องอย่างน้อย 2 สัปดาห์ หรือมีประวัติสัมผัสน้ำ ดิน โคลน หรือประสบอุทกภัย ให้ส่งต่อผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาล เพื่อวินิจฉัยโรคและรักษาต่อไป