กนง. คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จากเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มขยายตัวใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้ และนโยบายการเงินที่กำลังทยอยส่งผ่าน ท่ามกลางเงินเฟ้อที่ต่ำลงกว่าคาด
กนง. มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.50% ต่อปี ในการประชุมครั้งที่ 5/2568 โดยมีสาระสำคัญดังนี้
- เศรษฐกิจไทยปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้ แม้การส่งออกไปยังสหรัฐฯจะเร่งตัวสูงก่อนการบังคับใช้มาตรการภาษี แต่กลับส่งผลดีต่อ GDP โดยเฉพาะภาคการผลิตอย่างจำกัด อีกทั้งการนำเข้าที่ขยายตัวสูงในช่วงเวลาเดียวกัน สะท้อนความเสี่ยงที่การส่งออกไปยังสหรัฐบางส่วนอาจเป็น transshipment เศรษฐกิจไทยช่วงที่เหลือของปี 2568 มีแนวโน้มชะลอลงจากภาคการผลิตที่เร่งไปในช่วงก่อน การลงทุนที่ชะลอลงท่ามกลางไม่ชัดเจนของผลจากมาตรการการค้า และการท่องเที่ยวที่ชะลอตัวต่อเนื่องนับจากต้นปี แม้จะเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจีนบ้าง ทั้งนี้ ต้องติดตามผลของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และมาตรการสนับสนุน SMEs ของภาครัฐที่จะเป็นแรงส่งอุปสงค์ในประเทศในระยะข้างหน้า
- กนง. ปรับลดประมาณการการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย (GDP) เล็กน้อยสำหรับปี 2568 อยู่ที่ 2.2% จากประมาณการเดิม 2.3% และในปี 2569 ปรับลดลงจาก 1.7% เป็น 1.6% โดยคาดว่าโมเมนตัมเศรษฐกิจจะชะลอลงแรงตั้งแต่ Q4/68 จนถึง Q2/69
- กนง. มีมุมมองต่อแนวโน้มการส่งออกที่ดีขึ้นกว่าการประเมินครั้งก่อน จากการเร่งส่งออกไปยังสหรัฐฯ ที่ดีกว่าที่คาด ประกอบกับปัจจัยบวกของกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องจากความต้องการ ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี AI และ Data Center
- ขณะที่ปรับการคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวลงตามแนวโน้มนักท่องเที่ยวจีน เนื่องจากการแข่งขัน ที่สูงขึ้น โดยประเมินว่าในปี 2569 จำนวนนักเที่ยวเที่ยวจะอยู่ที่ 35 ล้านคนซึ่งยังต่ำกว่าปี 2567 ที่ 35.5 ล้านคน
- ภาวะการเงินของไทยทรงตัว ผลของนโยบายการเงินทยอยส่งผ่าน สะท้อนจากอัตราดอกเบี้ยในระบบสถาบันการเงิน และตลาดการเงินปรับลดลง สินเชื่อโดยรวมในระบบสถาบันการเงินยังคงหดตัว จากภาวะสินเชื่อที่ยังอยู่ในช่วง deleveraging โดยเฉพาะสินเชื่อ SMEs และครัวเรือนกลุ่มรายได้ต่ำ จากความเสี่ยงด้านเครดิตที่สูง ประกอบกับการชำระคืนหนี้องลูกหนี้ที่มีสภาพคล่องเพียงพอและความต้องการสินเชื่อของธุรกิจขนาดใหญ่ที่ลดลงจากแนวโน้มเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน
- อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าที่ กนง. ประเมินไว้ โดยคาดว่าในปี 2568 เงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ที่ร้อยละ 0.0 ก่อนที่จะทยอยกลับเข้าสู่กรอบล่างของเป้าหมายเงินเฟ้อในช่วงต้นปี 2570 จากปัจจัยด้านอุปทานเป็นสำคัญ โดยเฉพาะในหมวดพลังงาน ตามแนวโน้มราคาน้ำมันที่อุปทานน้ำมันโลกเพิ่มขึ้น ขณะที่อุปสงค์ชะลอจากทิศทางเศรษฐกิจโลก
- โดย กนง. เน้นย้ำว่าภาวะดังเกล่าวไม่ได้สะท้อนถึงภาวะเงินฝืด (deflation) เนื่องจากราคาสินค้าและบริการส่วนใหญ่ในตระกร้าเงินเฟ้อยังคงเพิ่มขึ้นหรือไม่เปลี่ยนแปลง แม้สัดส่วนของสินค้าที่ราคาลดลงจะมีมากขึ้นในระยะหลัง แต่ยังใกล้เคียงค่าเฉลี่ยในอดีต
- ขณะที่ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core Inflation) ยังมีแนวโน้มทรงตัว สะท้อนแรงกดดันราคาด้าน อุปสงค์ที่ยังมีอยู่ แม้จะอยู่ในระดับต่ำ อีกทั้ง อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ (headline inflation expectations) ในระยะปานกลางของภาคเอกชนยังยึดเหนี่ยวในกรอบเป้าหมายอยู่ที่ 1.6%
Implication:
- Krungthai COMPASS คาดว่า กนง. อาจพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยสู่ระดับ 1.25% เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจเพิ่มเติมหากแนวโน้มเศรษฐกิจชะลอกว่าที่คาด จากผลของข้อตกลงการค้ากับสหรัฐซึ่งจะส่งผลเต็มที่ต่อเนื่องจนถึงกลางปี 2569 โดยเฉพาะเกณฑ์ด้าน Regional Value Content ที่ปัจจุบันยังไม่ได้ข้อสรุป
- Krungthai COMPASS มองว่าปัจจุบันนโยบายการเงินยังสามารถผ่อนคลายได้เพิ่มเติม โดยเฉพาะในปีหน้าที่ กนง. คาดว่า GDP จะขยายตัวที่ 1.6% ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่าศักยภาพ และอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปัจจุบันยังใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ย 15 ปีย้อนหลังที่ 1.74% และหากพิจารณาอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริงของไทยซึ่งใกล้เคียงระดับ 0.7% ไม่ได้แตกต่างมากนัก เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศในภูมิภาค แต่แนวโน้มเศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงด้านต่ำที่สูงกว่า
- ในระยะข้างหน้าต้องติดตามความเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจกระทบต่อผู้ประกอบการเพิ่มเติม โดยเฉพะกลุ่มเปราะบางที่มี margin ต่ำและ SMEs โดยนับตั้งแต่ต้นปี 2568 ค่าเงินบาทแข็งค่าเป็นลำดับต้นๆของภูมิภาค และมีความเสี่ยงแข็งค่าเกินกว่าปัจจัยพื้นฐาน แม้ว่าที่ผ่านมา ธปท. จะมีการดูแลค่าเงินบาทต่อเนื่อง สะท้อนจากเงินสำรองระหว่างประเทศสุทธิ(Net International Reserves) ที่แตะระดับสูงสุดที่ 2.9 แสนล้านบาท นอกจากนี้ แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐในระยะข้างหน้าที่ยังผันผวนจากทิศทางเศรษฐกิจ และเงินเฟ้อที่ ไม่แน่นอนจะส่งผลต่อส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย และกดดันค่าเงินบาทอีกทางหนึ่ง