นางสาว สินสิริ ทังสมบัติ หัวหน้าสายงานตรวจสอบบัญชีและหุ้นส่วน บริษัท PwC ประเทศไทย กล่าว ณ งานสัมมนา 'Corporate Reporting Forum' ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานสัมมนาประจำปี PwC Thailand's Symposium 2025: From insight to action: Staying ahead of change ว่า จากการเปลี่ยนแปลงของภูมิทัศน์ทางรัฐศาสตร์ ความขัดแย้งทางการค้า และปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ธุรกิจจำเป็นต้องมีการปรับตัว ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ส่งผลต่อการปฏิบัติงานและรายงานทางการเงิน ผู้ประกอบการจึงควรให้ความสำคัญกับการติดตามสถานการณ์ หามาตรการรับมือ และสื่อสารข้อมูลที่โปร่งใสแก่ผู้มีส่วนได้เสีย เพื่อแสดงแนวทางการบริหารความเสี่ยงและโอกาสที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว
"เมกะเทรนด์ทั้งเทคโนโลยี AI การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ กำลังส่งผลกระทบต่อทุกมิติของธุรกิจ ผู้นำองค์กรต้องปรับตัวอย่างสร้างสรรค์ มองหาโอกาสใหม่ ๆ ทั้งการร่วมมือข้ามอุตสาหกรรม การวางแผนทางการเงินและรายงานความยั่งยืน รวมถึงกลยุทธ์และภาษี เพื่อให้สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วและสร้างการเติบโตในโลกที่ซับซ้อนขึ้น" นางสาว สินสิริ กล่าว
ติดตามการปรับปรุงมาตรฐานการเงิน และรายงานความยั่งยืน
นางสาว สินสิริ กล่าวว่า ในปี 2568 มีการปรับปรุงมาตรฐานการรายงานทางการเงินที่สำคัญ ซึ่งจะส่งผลต่อการจัดประเภทหนี้สิน การเปิดเผยข้อมูลสินทรัพย์ทางการเงิน และการบัญชีตราสารหนี้รูปแบบใหม่ที่เชื่อมโยงกับเหตุการณ์ในอนาคต เช่น ESG-linked bond
แนวทางใหม่ในการจัดประเภทหนี้สิน (TAS 1) มาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 1 ที่ปรับปรุงใหม่ได้กำหนดแนวทางที่ชัดเจนเกี่ยวกับการจัดประเภทหนี้สิน โดยเฉพาะกรณีที่กิจการผิดเงื่อนไขของข้อตกลง (Debt covenants) และธนาคารมีสิทธิเรียกชำระหนี้ได้ทันที การพิจารณาว่าหนี้สินเป็นหมุนเวียนหรือไม่หมุนเวียน ต้องอ้างอิงกับผลการปฏิบัติตามเงื่อนไข ณ วันสิ้นรอบระยะเวลารายงาน ว่ากิจการสามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขได้หรือไม่ แม้ว่าการประเมินจะเกิดขึ้นหลังวันสิ้นรอบระยะเวลารายงาน หากกิจการเคยตีความมาตรฐานแตกต่างจากที่ปรับปรุงใหม่ อาจต้องเปลี่ยนแปลงการจัดประเภทหนี้สินจากไม่หมุนเวียนเป็นหมุนเวียน เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานที่ปรับปรุง
การเปิดเผยข้อมูลสินทรัพย์ทางการเงินที่เข้มข้นขึ้น (TFRS 7) มาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับที่ 7 ได้ปรับปรุงให้กิจการต้องเปิดเผยข้อมูลสำหรับสินทรัพย์ทางการเงินประเภทตราสารทุนที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ (FVOCI) มากขึ้น กิจการที่เลือกวัดมูลค่าด้วยวิธีนี้กำไรขาดทุนที่เกิดขึ้นจริงจากการขายจะไม่โอนจากกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จไปที่กำไรขาดทุน ทำให้ผู้ใช้งบการเงินไม่เห็นกำไรขาดทุนที่เกิดขึ้นจริง ดังนั้น มาตรฐานที่ปรับปรุงใหม่กำหนดให้กิจการต้องเปิดเผยกำไรขาดทุนที่เกิดขึ้นจริงระหว่างงวด ทั้งสำหรับสินทรัพย์ที่ยังถืออยู่และที่ขายไปแล้ว รวมถึงยอดสะสมของกำไรขาดทุนที่เคยรับรู้ผ่านกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จที่ถูกจัดประเภทใหม่เป็นกำไรสะสม จุดประสงค์เพื่อให้ผู้ใช้งบการเงินสามารถทราบถึงกำไรขาดทุนที่เกิดขึ้นจริงและที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง แม้ว่ารายการเหล่านั้นจะไม่เคยรับรู้ผ่านกำไรขาดทุนก็ตาม
การบัญชีตราสารหนี้ที่เชื่อมโยงกับเหตุการณ์ในอนาคต แนวโน้มสำคัญคือการออกตราสารหนี้ที่มีการผูกการจ่ายดอกเบี้ยกับเหตุการณ์ในอนาคต เช่น ESG linked bond ที่อัตราดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของกิจการผู้ออกตราสาร ในการจัดประเภททางบัญชี ผู้ถือตราสารต้องพิจารณาว่าผ่านเงื่อนไขการจ่ายเพียงเงินต้นและดอกเบี้ย (SPPI) หรือไม่ หากผ่านเงื่อนไขนี้ ต้องพิจารณาโมเดลธุรกิจของผู้ถือตราสารว่าเป็นการถือเพื่อรับกระแสเงินสดตามสัญญา เพื่อขาย หรือทั้งสองอย่าง การจัดประเภทจะส่งผลต่อวิธีการวัดมูลค่าของเงินลงทุนในตราสารหนี้ดังกล่าว ในมาตรฐานฉบับที่ 9 จะเพิ่มเติมหลักการในการพิจารณาว่าตราสารที่มีการผูกการจ่ายดอกเบี้ยกับเหตุการณ์ในอนาคตผ่านเงื่อนไข SPPI หรือไม่ เพื่อให้กิจการต่าง ๆ มีหลักเกณฑ์เดียวกันในการพิจารณา ซึ่งก่อนหน้านี้แต่ละกิจการอาจใช้หลักเกณฑ์ที่แตกต่างกัน ทำให้วิธีการวัดมูลค่ามีความแตกต่างกัน
นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate change) ได้กลายเป็นปัจจัยสำคัญในการวางแผนทางการเงินและการจัดการความเสี่ยง ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อการบริหาร โครงสร้างทางการเงิน และกลยุทธ์ขององค์กร ซึ่งความเสี่ยงทางการเงินที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต้องถูกรวมเข้าไปแสดงในรายงานทางการเงินตามหลักเกณฑ์ของ GAAP และ IFRS อย่างครบถ้วน ดังนั้น องค์กรจึงควรประเมินความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศอย่างรอบคอบ และเชื่อมโยงผลกระทบกับการเงินและการดำเนินงานทั่วทั้งองค์กรเพื่อให้เข้าใจถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อการดำเนินงานและผลประกอบการทางการเงิน
ยุคที่ขับเคลื่อนการเติบโตด้วย AI และกลยุทธ์การควบรวมกิจการ
นางสาว สินสิริ กล่าวว่า ปัจจุบัน AI ได้กลายเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญขององค์กรในการลดต้นทุนการดำเนินงานและสนับสนุนการตัดสินใจในสภาพแวดล้อมธุรกิจที่มีการแข่งขันสูง อย่างไรก็ดี เพื่อให้องค์กรสามารถใช้ศักยภาพของ AI ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ จำเป็นต้องมีการวางกรอบการใช้ AI อย่างรับผิดชอบ ควบคู่กับการสร้างสมดุลระหว่างความคล่องตัวในการดำเนินธุรกิจกับมาตรการควบคุมที่เหมาะสม อันจะนำไปสู่ผลตอบแทนจากการลงทุนที่คุ้มค่าและยั่งยืน
ยิ่งไปกว่านั้น อีกแนวโน้มสำคัญที่ผู้นำองค์กรในปัจจุบันให้ความสนใจมากขึ้น คือ กลยุทธ์การควบรวมและเข้าซื้อกิจการ (mergers & acquisitions: M&A) ซึ่งถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการเร่งการเติบโตขององค์กร การเข้าถึงเทคโนโลยีใหม่อย่าง AI ทรัพย์สินทางปัญญา องค์ความรู้ ทักษะเฉพาะ หรือการขยายฐานลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว ในบางกรณี องค์กรอาจพิจารณาการร่วมมือหรือการเป็นพันธมิตรข้ามอุตสาหกรรม เพื่อขยายขอบเขตธุรกิจจากอุตสาหกรรมเดิมไปสู่โดเมนใหม่อย่างมีประสิทธิภาพ
นางสาว สินสิริ กล่าวว่า ในยุคที่โลกธุรกิจเปลี่ยนแปลงรวดเร็วและซับซ้อน ฝ่ายงานไฟแนนซ์ไม่ได้เป็นแค่ฝ่ายสนับสนุนอีกต่อไป แต่คือแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ช่วยให้องค์กรใช้ข้อมูลอย่างชาญฉลาด สร้างความยั่งยืน และบรรลุเป้าหมายการเติบโตได้อย่างมั่นคง ด้วยเหตุนี้ ผู้นำองค์กรจึงต้องเปิดโอกาสให้ฝ่ายไฟแนนซ์ของตนได้แสดงบทบาทพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ พร้อมนำศักยภาพด้านการวิเคราะห์และคาดการณ์มาสู่การตัดสินใจทุกระดับ เพื่อให้ก้าวทันและสร้างความได้เปรียบในโลกธุรกิจที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน