เงินบาทอ่อนค่า รับสัญญาณเฟดเตรียมจบ QE กลางปีหน้า และรอจังหวะเหมาะสมสำหรับการขึ้นดอกเบี้ย

พฤหัส ๒๓ กันยายน ๒๐๒๑ ๑๗:๐๔
ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีมติคงดอกเบี้ยและวงเงิน QE ตามเดิม แต่สิ่งที่อยู่นอกเหนือการคาดการณ์ของตลาดก็คือ ถ้อยแถลงหลังการประชุมของประธานเฟดในเรื่อง QE และมุมมองดอกเบี้ยของเจ้าหน้าที่เฟดที่เปิดโอกาสสำหรับการขึ้นดอกเบี้ยในปี 2565ในการประชุมรอบล่าสุด (21-22 ธ.ค.) เฟดคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในกรอบ 0.00-0.25% และคงวงเงินซื้อสินทรัพย์ผ่านมาตรการ QE ที่ 120,000 ล้านดอลลาร์ฯ ต่อเดือนตามเดิม อย่างไรก็ดีประธานเฟด ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า เฟดมีแนวโน้มที่จะเริ่มลดวงเงินซื้อพันธบัตรผ่านมาตรการ QE ในเดือนพ.ย. 2564 นี้ และมาตรการ QE จะสิ้นสุดลงในกลางปี 2565 ขณะที่แผนภาพ Dot Plot ล่าสุด สะท้อนมุมมองเจ้าหน้าที่เฟด 9 ใน 18 รายที่มองว่า มีความเป็นไปได้มากขึ้นที่เฟดจะเริ่มขยับดอกเบี้ยในปีหน้า ซึ่งเร็วขึ้นกว่ามุมมองจาก Dot Plot รอบก่อนหากสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและตลาดแรงงานของสหรัฐฯ มีความต่อเนื่อง ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า เฟดจะใช้เวลาประมาณ 8 เดือนในการชะลอมาตรการ QE หรือ QE Tapering โดยเฟดอาจทยอยลดวงเงินซื้อสินทรัพย์ของมาตรการลง QE ประมาณ 15,000 ล้านดอลลาร์ฯ ต่อเดือน แบ่งเป็นลดการซื้อพันธบัตรรัฐบาลเดือนละ 10,000 ล้านดอลลาร์ฯ และลดการซื้อตราสารหนี้ MBS ที่หนุนหลังด้วยสินเชื่อจำนอง เดือนละ 5,000 ล้านดอลลาร์ฯ นอกจากนี้การปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์เงินเฟ้อของสหรัฐฯ ในปี 2564-2565 ขึ้น โดยที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในปีหน้าจะสูงกว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปนั้น น่าจะบ่งชี้ว่า เฟดจำเป็นต้องดูแลโจทย์เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นและมีความเป็นไปได้มากขึ้นที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ จะปรับเพิ่มในปีหน้าจากผลการประชุมเฟดดังกล่าว เงินบาทอ่อนค่าทดสอบแนว 33.60 บาทต่อดอลลาร์ฯ ซึ่งเป็นระดับที่อ่อนค่าที่สุดในรอบ 4 ปีในช่วงเช้าของวันที่ 23 กันยายน 2564 ก่อนจะฟื้นตัวกลับมาได้บางส่วนในเวลาต่อมา ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า เงินบาทที่อ่อนค่าลงดังกล่าว น่าจะสะท้อนข่าวการทำ QE tapering ของเฟดไปค่อนข้างมากพอสมควรแล้ว ซึ่งทำให้โอกาสการอ่อนค่าเพิ่มเติมของเงินบาทในระยะข้างหน้าจะขึ้นอยู่กับว่าแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และข้อมูลตลาดแรงงานจะออกมาดีกว่าคาดหรือไม่ เพียงใด แต่ในทางตรงกันข้าม หากตัวเลขเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ออกมาต่ำกว่าคาด เงินดอลลาร์ฯ ก็อาจจะย่อตัวลงมาได้เช่นกันสำหรับในช่วงที่เหลือของปี 2564 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า จุดจับตาสำคัญที่จะมีผลต่อทิศทางค่าเงินบาทในช่วงที่เหลือของปี 2564 จะอยู่ที่ 2 เรื่องหลักๆ คือ 1) การปรับลดมาตรการ QE ของเฟด และ 2) สถานการณ์โควิด-19 และการเร่งฉีดวัคซีนในประเทศ โดยหากประเมินภาพจากปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐฯ และไทยแล้ว สัญญาณการเตรียมถอนตัวออกจากนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายของธนาคารกลางสหรัฐฯ ก่อนสิ้นปี 2564 เป็นปัจจัยสำคัญที่จะหนุนให้เงินดอลลาร์ฯ มีทิศทางแข็งค่าขึ้น และทำให้เงินบาทมีโอกาสเคลื่อนไหวในกรอบที่อ่อนค่ากว่าระดับ 33.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ เป็นส่วนใหญ่ในช่วงที่เหลือของปี ดังนั้นแล้ว หากพัฒนาการของเรื่องราวต่างๆ ทำให้เงินบาทโน้มอ่อนค่าชัดเจนขึ้น ผู้นำเข้าอาจต้องพิจารณาทยอยทำสัญญาฟอร์เวิร์ดเพื่อซื้อดอลลาร์ฯ ล่วงหน้าเพื่อบรรเทาผลกระทบบางส่วนต่อมาร์จิน เป็นต้น

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๐:๕๙ อแมนด้า ชาร์ลีน ออบดัม VICHY LIFTACTIV BRAND PARTNER ตัวแทนประเทศไทย ร่วมงาน 'V.I.C VICHY INTEGRATIVE CENTER' อีเว้นท์สุดยิ่งใหญ่ในรอบ 5 ปี ของแบรนด์ VICHY (วิชี่) อวดลุคเซ็กซี่สุดฮอต สวย ปัง
๒๖ เม.ย. ไทยพีบีเอสผนึกกำลัง สสส. ผลิต และเผยแพร่เนื้อหาส่งเสริมสุขภาวะเด็ก เยาวชน และครอบครัว
๒๖ เม.ย. NPS ร่วมสืบสานประเพณีสงกรานต์ชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า ประจำปี 2567
๒๖ เม.ย. แพทย์แผนไทย มทร.ธัญบุรี แนะฤดูร้อนควรทานพืชผักที่มีฤทธิ์เย็นช่วยลดความร้อนในร่างกาย
๒๖ เม.ย. แพรนด้า จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2566
๒๖ เม.ย. RBRU Herb Shot ขยายศักยภาพทางธุรกิจ รุกตลาดอินเดีย
๒๖ เม.ย. ไฮเออร์ ประเทศไทย เดินเกมรุกไตรมาส 2 เปิดตัวตู้เย็นรุ่นใหม่ Multi-door HRF-MD679 ตั้งเป้าปี 67 ดันยอดขายตู้เย็นโต
๒๖ เม.ย. เอ็น.ซี.ซี.ฯ ประกาศจัดงาน PET EXPO THAILAND 2024 ระดมสินค้า บริการ ลดหนักจัดเต็ม รับกระแส Petsumer ดันตลาดสัตว์เลี้ยงโตแรง
๒๖ เม.ย. ธอส. ขานรับนโยบายรัฐบาล ลดอัตราดอกเบี้ย MRR 0.25% ต่อปี พร้อมส่งเสริมวินัยการออม ด้วย เงินฝากออมทรัพย์เก็บออม ดอกเบี้ยสูงถึง 1.95%
๒๖ เม.ย. ManageEngine ลดความซับซ้อน ช่วยองค์กรจัดการต้นทุนบนคลาวด์ทั่วมัลติคลาวด์ได้ง่ายขึ้น พร้อมรองรับแพลตฟอร์ม Google Cloud