แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า กรมอนามัยในฐานะหน่วยงานวิชาการหลักของกระทรวงสาธารณสุข มีบทบาทสำคัญในการอภิบาลระบบส่งเสริมสุขภาพและสุขภาพช่องปากของประเทศ โดยการผนึกกำลังกับภาคเอกชนอย่างบริษัท ไลอ้อนฯ ในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนาวิชาการด้านสุขภาพช่องปากอย่างเป็นระบบ ซึ่งเป็นการดำเนินการที่สอดคล้องกับภารกิจของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ในการส่งเสริมสุขภาพของเด็กและคนไทย ซึ่งจากสถานการณ์สุขภาพช่องปากของเด็กไทย ในปี 2566 พบว่า เด็กอายุ 3 ปี ร้อยละ 51.7 มีฟันผุ และพุ่งสูงถึงร้อยละ 79.5 ในกลุ่มเด็ก 5 ปี ซึ่งเป็นช่วงวัยสำคัญที่เริ่มเข้าสู่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก นอกจากนี้ เด็กอายุ 12 ปี ร้อยละ 49.3 ยังพบฟันผุ และกว่าร้อยละ 80 ต้องเผชิญปัญหาเหงือกอักเสบที่นับวันยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น สวนทางกับการเข้าถึงบริการทันตกรรมที่มีแนวโน้มลดลงอย่างน่าเป็นห่วง โดยโครงการไลอ้อน - กรมอนามัย เด็กไทยฟันดี ซึ่งอยู่ภายใต้โครงการพัฒนาวิชาการและโมเดลส่งเสริมสุขภาพช่องปาก : Sandbox จังหวัดเด็กฟันดี ถือเป็นบันทึกข้อตกลงความร่วมมือที่สะท้อนถึงเจตนารมณ์ร่วมกัน ในการยกระดับสุขภาพช่องปากของเด็กไทย เพื่อส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนาวิชาการผ่านความร่วมมือแบบบูรณาการระหว่างภาครัฐและเอกชน
ดร. นายแพทย์ปองพล วรปาณิ รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวเสริมว่า โครงการ Sandbox จังหวัดเด็กฟันดี เป็นการสร้างเครือข่ายและกลไกการส่งเสริมสุขภาพช่องปากในกลุ่มเด็กอย่างเป็นระบบ ได้แก่ การฝึกทักษะคุณพ่อคุณแม่ให้แปรงฟันลูกอย่างถูกวิธีในคลินิกเด็กสุขภาพดี ปลูกฝังนิสัยรักการแปรงฟันในสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยและโรงเรียนประถมศึกษา เริ่มต้นใน 13 จังหวัดนำร่อง ได้แก่ เชียงใหม่ ตาก นครสวรรค์ นครนายก เพชรบุรี ฉะเชิงเทรา กาฬสินธุ์ นครพนม นครราชสีมา ยโสธร พังงา นราธิวาส และกรุงเทพมหานคร เพื่อให้เด็กไทยทั่วประเทศมีสุขภาพช่องปากที่ดี รวมทั้ง ขยายผลโมเดลสุขภาพช่องปากทุกกลุ่มวัย โดยส่งรถทันตกรรมเคลื่อนที่บุกถึงชุมชน ให้ประชาชนเข้าถึงบริการทันตกรรมได้ง่ายขึ้น เพื่อสร้างรากฐานสุขภาพที่ดีจากรอยยิ้มที่สดใสของเด็กๆ เพื่อรอยยิ้มและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของคนไทยทุกคน
ทันตแพทย์ดำรง ธำรงเลาหะพันธุ์ ผู้อำนวยการสำนักทันตสาธารณสุข กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัญหาฟันผุในเด็กไทยนั้น ส่งผลกระทบต่อสุขภาพโดยรวม อาทิ ฟันผุจะมีอาการปวดและไม่สามารถเคี้ยวอาหารได้ดี ทำให้กินอาหารได้น้อยลง เสี่ยงต่อภาวะขาดสารอาหาร การเจริญเติบโตล่าช้า นอกจากนี้ ฟันผุทำให้เด็กขาดความมั่นใจในตนเอง ไม่กล้ายิ้ม หรือพูดในที่สาธารณะ การปวดฟันบ่อยครั้งส่งผลให้เด็กขาดเรียน สมาธิสั้นและมีผลการเรียนที่ต่ำลง ค่าใช้จ่ายในการรักษาทางทันตกรรมที่เพิ่มขึ้น สร้างภาระให้ครอบครัว โดยเฉพาะในกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ซึ่งการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ทางภาครัฐได้เร่งดำเนินการอย่างเต็มที่ และยังได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชน เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานให้กระจายเป็นวงกว้างมากยิ่งขึ้น
คุณชาติ จันทร์วิจิตร ประธานกรรมการ บริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ไลอ้อน ประเทศไทย มีความยินดีที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือครั้งประวัติศาสตร์นี้ โดยร่วมมือกับกรมอนามัย ซึ่งเป็นองค์กรหลักในการส่งเสริมด้านสุขภาพของประชาชนไทย นับเป็นก้าวสำคัญในการรวมพลังระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรม สู่เป้าหมาย 'เด็กไทยฟันดี ไม่มีฟันผุ' ตามเจตนารมณ์ร่วมกัน ซึ่งบริษัท ไลอ้อนฯ ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมทันตกรรมป้องกัน สำหรับเด็ก ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ และดำเนินการอย่างต่อเนื่องทั่วประเทศไทย โดยมีโครงการต่าง ๆ อาทิ Lion Kodomo School Roadshow ที่ดำเนินการต่อเนื่องมากว่า 30 ปี เพื่อให้ความรู้ในการแปรงฟันและสร้างเสริมพฤติกรรมดูแลสุขภาพช่องปากให้กับเด็ก ๆ ในโรงเรียนประถมทั่วประเทศ ปีละกว่าหนึ่งแสนคน โครงการไลอ้อนส่งเสริมการป้องกันและดูแลสุขภาพช่องปากให้กับประชาชนทั่วไป โครงการบริหารช่องปากสำหรับผู้สูงวัยด้วยเทคนิค Kenkobi เป็นต้น โครงการดังกล่าวสอดคล้องกับทิศทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ เป็นองค์กรธุรกิจคู่คุณธรรม ด้วยพันธสัญญาที่จะนำความดีสู่สังคม และพัฒนาสินค้าเพื่อสุขภาวะที่ดีของผู้บริโภคทุกช่วงวัย
"ทั้งนี้ บริษัท ไลอ้อน มีเป้าประสงค์ ที่จะส่งเสริมความรู้ ความเข้าใจ และสร้างความตระหนักในพฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปากที่ถูกต้องให้กับประชาชนทุกช่วงวัย ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ ตลอดจนผู้สูงอายุ ซึ่งนอกจากการร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการ "ไลอ้อน - กรมอนามัย เด็กไทยฟันดี" แล้ว ยังเปิดตัว โครงการ LION Smile Express ซึ่งปีนี้ได้ดำเนินการต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 2 เป็นโครงการที่ทางไลอ้อนจัดรถทันตกรรมเคลื่อนที่มาตรฐานความสะอาด ความปลอดภัย ความทันสมัย ให้บริการตรวจฟัน เคลือบฟลูออไรด์ อุดฟัน ขูดหินปูน ออกให้บริการตามแหล่งชุมชน โรงเรียน ทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัดโดยเน้นไปที่กลุ่มเสี่ยงหรือผู้ด้อยโอกาสที่ไม่สามารถเข้าถึงการตรวจ การดูแล และรักษาปัญหาในช่องปากได้ อาทิ กลุ่มเด็กเล็กในโรงเรียน กลุ่มเด็กด้อยโอกาส ผู้บกพร่องทางร่างกาย ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยในภาวะพึ่งพิง ชาวบ้านในชุมชนแออัด เป็นต้น โดยในปี 2567 ที่ผ่านมา โครงการ LION Smile Express ได้ออกให้บริการใน 31 สถานที่ 9 จังหวัด และให้บริการกลุ่มเป้าหมายถึง 2,687 คน โดยในปีนี้มีแผนจะออกให้บริการควบคู่กับ โครงการ Sandbox จังหวัดเด็กฟันดี เพื่อสร้างสังคมแห่งสุขภาพช่องปากที่ดีให้กับคนทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียม" คุณชาติ กล่าว
