ศ. ดร.ศุภสวัสดิ์ ชัชวาลย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ในช่วงเวลาที่ "SDGs" หรือเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน กลายเป็นวาระร่วมของนานาประเทศและองค์กรทั่วโลก ธรรมศาสตร์ได้ให้ความสำคัญและก้าวไปอีกขั้น โดยมุ่งเน้นการผลักดัน SDGs จากการเป็นเพียงแนวคิดสากล สู่การเป็น "กลไกสร้างการเปลี่ยนแปลง" ที่เกิดขึ้นจริงในระดับพื้นที่ ด้วยการนำผลงานวิจัยมาต่อยอดในระดับชุมชนและพาณิชย์ พร้อมเชื่อมโยงองค์ความรู้หลากหลายสาขา อาทิ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคมศาสตร์ สถาปัตยกรรมและการออกแบบ มาบูรณาการเพื่อพัฒนาผลงานวิจัยที่เป็นรูปธรรม ทั้งยังเปิดพื้นที่ให้นักวิจัย นักศึกษา และชุมชนร่วมกันทดลอง และต่อยอดผลงานร่วมกัน เพื่อให้เกิดวัฏจักรของการเรียนรู้ที่เท่าทันและตอบสนองบริบทของสังคมไทยอย่างแท้จริง
"สังคมไทยกำลังเผชิญ pain point ร่วมระดับชาติหลายมิติ ทั้งภัยธรรมชาติที่ทวีความรุนแรงขึ้น ความเหลื่อมล้ำทางรายได้ที่ลึกลงทุกปี และคุณภาพชีวิตที่ไม่เท่ากันของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุและผู้มีรายได้น้อย สะท้อนจากรายงานของสหประชาชาติที่ระบุว่าไทยยังมีความเหลื่อมล้ำทางรายได้สูงที่สุดในกลุ่มอาเซียน และเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราผู้เสียชีวิตจากภัยพิบัติต่อประชากรมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยกตัวอย่างข้อมูลในด้านของสิ่งแวดล้อม ธนาคารโลก (World Bank) ชี้ว่าไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากกว่า 250 ล้านตัน CO? ต่อปี ขณะที่อัตราการบริโภคพลังงานเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 3-4% สวนทางกับความสามารถในการจัดการขยะและทรัพยากรอย่างยั่งยืน สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แค่ตัวเลขในรายงาน แต่คือสภาพชีวิตจริงของผู้คนที่ต้องเผชิญ และเป็นโจทย์ที่ SDGs ต้องตอบให้ได้อย่างเป็นรูปธรรม"
ในช่วงครึ่งปีหลัง 2568 นี้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้ขับเคลื่อนเป้าหมาย SDGs ด้วยนวัตกรรม ผ่านงานนิทรรศการ "SDGs เพื่อประชาชน: นวัตกรรมเพื่อชีวิต - สร้างอนาคตที่ยั่งยืน" ที่รวบรวมผลงานวิจัย เทคโนโลยี และแนวคิดสร้างสรรค์จากหลากหลายสาขาในมหาวิทยาลัยมากกว่า 30 ผลงานครอบคลุมทั้งด้านภัยพิบัติ พลังงาน อาหาร เมือง และเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยนิทรรศการนี้ แบ่งออกเป็น 5 โซนหลัก ประกอบด้วย
- โซนความพร้อมรับมือภัยพิบัติ (Resilience & Disaster Preparedness Zone) อาทิ เครื่องเตือนภัยแผ่นดินไหว ระบบสื่อสารฉุกเฉิน เป็นต้น
- โซนนวัตกรรมพลังงานสะอาดและโครงสร้างพื้นฐาน (Clean Energy & Infrastructure Innovation Zone) นำเสนอระบบ Solar Tracker คอนกรีตไร้ซีเมนต์ หุ่นยนต์ใต้น้ำ ฯลฯ
- โซนเมืองและถิ่นฐานมนุษย์อย่างยั่งยืน (Sustainable Urban & Public Spaces Zone) รวมถึง AI ดูแลต้นไม้ พื้นที่ออกกำลังกายเพื่อผู้พิการ อาทิ Future Street ต้นแบบถนนแห่งอนาคต เป็นต้น
- โซนสุขภาพและอาหารเพื่อชีวิตที่ดี (Health & Future Food Zone) อาทิ เครื่องออกกำลังกายผู้ป่วย อาหารฟังก์ชัน Microwave MedTech เป็นต้น
- โซนเศรษฐกิจหมุนเวียนและนวัตกรรมเพื่อการผลิตที่ยั่งยืน (Circular Economy & Sustainable Production Zone) อาทิ บรรจุภัณฑ์ชีวภาพ เส้นใยเหลือใช้เพื่อสิ่งทอใหม่ ปุ๋ยหมุนเวียน เป็นต้น
ศ. ดร.ศุภสวัสดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า หนึ่งในไฮไลต์สำคัญคือโซน "Resilience & Disaster Preparedness" ซึ่งนำเสนอเทคโนโลยีเพื่อการเตือนภัยและรับมือแผ่นดินไหว เช่น เครื่องจำลองแผ่นดินไหว และระบบสื่อสารฉุกเฉิน EmergencyTU ที่ประชาชนสามารถใช้ได้ในภาวะวิกฤติ สามารถส่งข้อมูลสำคัญและแจ้งเตือนผ่านโครงข่ายวิทยุพื้นฐานได้แม้ไม่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ต ตอบโจทย์การเข้าถึงเทคโนโลยีในพื้นที่ห่างไกล ด้าน "Sustainable Urban & Public Spaces Zone" นำเสนอต้นแบบสวนสาธารณะเพื่อรองรับการออกกำลังกายสำหรับผู้พิการ 7 ประเภท ครอบคลุมความต้องการทั้งทางร่างกายและการรับรู้ และยังมี Future Street ต้นแบบถนนแห่งอนาคตที่ผสานข้อมูลการจราจร ความปลอดภัย และระบบสีเขียวเข้าด้วยกัน พร้อมเทคโนโลยีสื่อสารเชิงปฏิสัมพันธ์ (Interactive) เพื่อสร้างพื้นที่สาธารณะที่ปลอดภัยและตอบสนองผู้ใช้หลากหลายกลุ่มในชุมชนเมือง
ในด้านสุขภาพและอาหาร โซน "Health & Future Food" นำเสนออาหารแห่งอนาคต เช่น ผักแผ่นอบกรอบ ซึ่งคงคุณค่าสารอาหารได้สูง มีอายุการเก็บรักษาที่ยาวนานมากขึ้น( shelf life) และเป็นต้นแบบการพัฒนา food innovation สำหรับผู้บริโภคยุคใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพ พร้อมนำเสนอเครื่องออกกำลังกายสำหรับผู้สูงอายุ รวมถึงเทคโนโลยีด้านการแพทย์ที่ใช้เลเซอร์และไมโครเวฟในการวิเคราะห์และรักษาโรคร้ายแรง โดยทุกโซนถูกออกแบบในรูปแบบอินเทอร์แอคทีฟที่ผู้เข้าชมสามารถมีส่วนร่วมได้จริง โดยนิทรรศการ "SDGs เพื่อประชาชน: นวัตกรรมเพื่อชีวิต - สร้างอนาคตที่ยั่งยืน" เปิดกว้างให้ประชาชนทั่วไป นักเรียน นิสิต นักศึกษา และผู้สนใจ เข้าร่วมเรียนรู้ ทดลอง และมีส่วนร่วมกับนวัตกรรมด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตั้งแต่วันนี้ จนถึง 30 กันยายน 2568
"ธรรมศาสตร์มุ่งเน้นการสร้างนวัตกรรมที่ไม่เพียงเป็นผลงานเชิงวิชาการ แต่ยังสามารถนำไปต่อยอดในเชิงพาณิชย์ สาธารณสุข และสวัสดิการชุมชนได้จริง โดยยึดหลักไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง "Leave No One Behind" ทุกผลงานจึงไม่ใช่เทคโนโลยีเพื่อคนบางกลุ่ม แต่ถูกออกแบบมาเพื่อคนทุกกลุ่มในสังคม โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้พิการ เกษตรกรรายย่อย และผู้มีรายได้น้อย"
นอกจากนี้ ภายในงานยังเปิดพื้นที่แนวคิดล้ำผ่านเวทีเสวนาจาก 3 นักวิจัยธรรมศาสตร์ จากคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้แก่ ผศ.ดร.อมรเทพ จิรศักดิ์จำรูญศรี อาจารย์ประจำสาขาเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนายั่งยืน พร้อมด้วยผศ.ดร.กฤติยา เขื่อนเพชร อาจารย์ประจำสาขาวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร และรศ. ดร.ธนิท เรืองรุ่งชัยกุล ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายกายภาพและสิ่งแวดล้อม ที่มาถ่ายทอดมุมมองและแรงบันดาลใจในการพัฒนาองค์ความรู้เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคม พร้อมเจาะลึกเบื้องหลังการพัฒนาและแนวทางนำผลงานวิจัยไปสู่การใช้งานจริง โดยชูบทบาทของมหาวิทยาลัยในฐานะศูนย์กลางการบูรณาการศาสตร์ต่าง ๆ เพื่อขับเคลื่อนเป้าหมาย SDGs อย่างเป็นรูปธรรม