มิติใหม่ของการรักษาโรคลิ้นหัวใจ ด้วยแนวทางการบริหารจัดการตลอดช่วงชีวิตเพื่อคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืน

โรคหัวใจและหลอดเลือด (CVDs) กำลังกลายเป็นภัยคุกคามด้านสุขภาพที่สำคัญ โดยเฉพาะกับผู้ที่อายุน้อยกว่า 60 ปี แม้โรคนี้จะเคยพบได้บ่อยในกลุ่มผู้สูงอายุจากความเสื่อมตามวัย แต่ปัจจุบันพฤติกรรมการใช้ชีวิตสมัยใหม่เป็นตัวเร่งให้เกิดโรคเร็วขึ้น ปัจจัยเสี่ยงที่น่ากังวล เช่น อาหารไขมันสูง การขาดการออกกำลังกาย การสูบบุหรี่ และการดื่มแอลกอฮอล์ นำไปสู่โรคอ้วน เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง และความดันโลหิตสูงตั้งแต่อายุยังน้อย นอกจากนี้ ความผิดปกติแต่กำเนิดและภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อก็มีส่วนในการก่อโรคด้วยเช่นกัน สมาพันธ์หัวใจโลก (World Heart Federation) รายงานว่า โรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งรวมถึงโรคลิ้นหัวใจ ยังคงเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของโลก โดยคร่าชีวิตผู้คนไปแล้วกว่า 20.5 ล้านคนต่อปี (1)

Tuesday 9 September 2025 17:39

โรคลิ้นหัวใจคือความผิดปกติที่ส่งผลกระทบต่อลิ้นหัวใจ โดยหลัก ๆ แล้วคือภาวะลิ้นหัวใจตีบ (stenosis) หรือลิ้นหัวใจรั่ว (regurgitation) สำหรับภาวะลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบ ซึ่งเป็นภาวะที่ลิ้นหัวใจแคบลงจนขัดขวางการไหลของเลือดจากหัวใจ หากไม่ได้รับการรักษาอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น หัวใจล้มเหลว หรือหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน ผู้ป่วยที่มีภาวะลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบขั้นรุนแรงอาจมีอาการเหนื่อยผิดปกติ แน่นหน้าอก ใจสั่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ หน้ามืดเป็นลม หรือขาบวม อาการเหล่านี้มักเป็นสัญญาณให้ต้องไปพบแพทย์ อย่างไรก็ตาม ยังมีภัยเงียบที่น่ากังวลนั่นก็คือ ผู้ป่วยภาวะลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบขั้นรุนแรงถึง 33-50% ไม่มีอาการใด ๆ ในขณะที่ได้รับการวินิจฉัย (2,3) โดยการวินิจฉัยประกอบด้วยการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และการตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (echocardiography) เพื่อประเมินความรุนแรงของโรคและความเร่งด่วนในการรักษา

การผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจถือเป็นแนวทางการรักษามาตรฐาน (gold standard) สำหรับภาวะลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบขั้นรุนแรง รศ.นพ.ปรัญญา สากิยลักษณ์ ศัลยแพทย์หัวใจและทรวงอก ภาควิชาศัลยศาสตร์ โรงพยาบาลศิริราช กล่าวว่า ข้อดีของการผ่าตัดคือการฟื้นฟูการทำงานของหัวใจ ลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อน และเพิ่มคุณภาพชีวิต นอกจากนี้ ผลวิจัยยังชี้ว่าการรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ ช่วยลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดโดยรวมได้ (4) ทุกวันนี้ เทคนิคการผ่าตัดที่ทันสมัยทำให้การผ่าตัดลิ้นหัวใจปลอดภัยยิ่งขึ้นและให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าเดิม โดยเฉพาะการผ่าตัดแผลเล็ก (minimally invasive) และการใช้กล้องส่อง (endoscopic) ที่ช่วยให้แผลมีขนาดเล็ก ฟื้นตัวเร็ว เจ็บน้อย และลดระยะเวลาพักในโรงพยาบาล

การเปลี่ยนลิ้นหัวใจใช้ลิ้นหัวใจเทียมได้สองประเภท คือ ชนิดเนื้อเยื่อ (bioprosthetic) หรือชนิดโลหะ (mechanical) ลิ้นหัวใจชนิดเนื้อเยื่อซึ่งทำจากเนื้อเยื่อเยื่อหุ้มหัวใจวัวหรือลิ้นหัวใจหมู มีลักษณะและการทำงานใกล้เคียงกับลิ้นหัวใจธรรมชาติ และที่สำคัญคือ ไม่จำเป็นต้องใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือดตลอดชีวิต ทำให้เหมาะสำหรับสตรีวัยเจริญพันธุ์ ผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงต่อภาวะเลือดออก หรือผู้ที่ไม่สามารถจัดการการใช้ยาได้ แม้ลิ้นหัวใจชนิดนี้จะมีอายุใช้งานประมาณ 10-20 ปี ซึ่งทำให้ผู้ป่วยอายุน้อยอาจต้องเปลี่ยนซ้ำ แต่ลิ้นหัวใจชนิดเนื้อเยื่อรุ่นใหม่มีความทนทานมากขึ้น ก็ถือเป็นทางเลือกที่ใช้งานได้ยาวนานและช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตหลังการผ่าตัดได้ดีขึ้น

นอกจากแนวทางการรักษามาตราฐานด้วยการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ ในปัจจุบันได้มีการพัฒนาเทคโนโยลีการเปลี่ยนลิ้นหัวใจเอออร์ติกโดยผ่านสายสวน (Transcatheter Aortic Valve Implantation - TAVI) เป็นหัตถการแผลเล็กที่สอดลิ้นหัวใจใหม่เข้าไปผ่านสายสวน ซึ่งมักทำผ่านหลอดเลือดแดงที่ขาหนีบ TAVI ได้รับการแนะนำเป็นหลักสำหรับผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีความเสี่ยงสูงจากการผ่าตัดเปิดหน้าอก และยังเปิดโอกาสให้สามารถทำหัตถการแบบ Valve-in-Valve ในอนาคตได้อีกด้วย

ความก้าวหน้าทางการแพทย์ได้เปลี่ยนแนวทางการรักษาโรคลิ้นหัวใจไปสู่แผนการดูแลระยะยาวที่เน้นการเพิ่มคุณภาพชีวิต รศ.นพ.ปรัญญา กล่าวว่า การบริหารจัดการโรคลิ้นหัวใจคือกระบวนการต่อเนื่องที่ครอบคลุมมากกว่าการผ่าตัดเพียงครั้งเดียว

"การบริหารจัดการตลอดช่วงชีวิต" (Lifetime Management) นับเป็นแนวทางที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในไทย เพราะการเลือกลิ้นหัวใจเทียมในครั้งแรก ส่งผลต่อทางเลือกการรักษาในอนาคต ตัวอย่างเช่น หากสตรีวัยเจริญพันธุ์ได้รับลิ้นหัวใจชนิดเนื้อเยื่อ อาจมีอายุยืนยาวกว่าอายุการใช้งานของลิ้นหัวใจนั้น ดังนั้น การวางแผนเผื่อการทำหัตถการ TAVI แบบ Valve-in-Valve ในอนาคต จึงกลายเป็นส่วนสำคัญในการตัดสินใจเลือกแนวทางการรักษา

การนำหลักการ Lifetime Management มาใช้ต้องอาศัยการพิจารณาอย่างรอบคอบจากทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหลายสาขา (Heart Team) และการตัดสินใจร่วมกับผู้ป่วย ปัจจัยสำคัญได้แก่:

  1. อายุของผู้ป่วย เพื่อประเมินอายุขัยและโอกาสที่ลิ้นหัวใจจะเสื่อมในอนาคต
  2. สุขภาพโดยรวมและโรคร่วม เพื่อประเมินความเสี่ยงและความสามารถในการฟื้นตัว
  3. กายวิภาคของหัวใจและลิ้นหัวใจ ซึ่งมีผลต่อการเลือกชนิดและขนาดของลิ้นหัวใจ และความเป็นไปได้ในการทำ Valve-in-Valve TAVI
  4. ความพร้อมของศูนย์การแพทย์ เทคโนโลยี และประสบการณ์ของทีมศัลยแพทย์ เนื่องจากหัตถการขั้นสูงต้องใช้ทีมสหสาขาวิชาชีพที่มีทักษะและความเชี่ยวชาญสูง

แนวทาง Lifetime Management แบบบูรณาการนี้ ได้รับการสนับสนุนจากความก้าวหน้าทั้งด้านทักษะการผ่าตัดและเทคโนโลยีลิ้นหัวใจ ถือเป็นก้าวสำคัญในการบริหารจัดการโรคลิ้นหัวใจเอออร์ติก โดยมอบทางเลือกที่หลากหลายให้ผู้ป่วย รวมถึงคนรุ่นใหม่ นอกเหนือจากการรักษาแบบเดิม ๆ ท้ายที่สุดแล้ว แผนการรักษาจะถูกกำหนดผ่านการตัดสินใจอย่างรอบด้านระหว่างผู้ป่วย ครอบครัว และทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้มั่นใจว่าจะได้รับการดูแลที่ปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และมีคุณภาพที่ยั่งยืน

แหล่งอ้างอิง:

1. Di Cesare M, Perel P, Taylor S, Kabudula C, Bixby H, Gaziano TA, McGhie DV, Mwangi J, Pervan B, Narula J, Pineiro D, Pinto FJ. The Heart of the World. Global Heart. 2024; 19(1): 11. DOI: https://doi.org/10.5334/gh.1288.

2. Pellikka PA, Sarano ME, Nishimura RA, et al. Outcome of 622 adults with asymptomatic, hemodynamically significant aortic stenosis during prolonged follow up. Circulation 2005; 111: 3290-5.

3. Genereux P, Stone GW, O'Gara PT, et al. Natural history, diagnostic approaches, and therapeutic strategies for patients with asymptomatic severe aortic stenosis. J Am Coll Cardiol 2016; 67: 2263-88.

4. Yokoyama, Yujiro, Hisato Takagi, and Toshiki Kuno. "Early surgery versus conservative management of asymptomatic severe aortic stenosis: A meta-analysis." The Journal of Thoracic and Cardiovascular Surgery 163.5 (2022): 1778-1785