นางสาววรรณภร วัฒนาเกษมสัตย์ ผู้อำนวยการฝ่ายความยั่งยืนและบรรษัทสัมพันธ์ บริษัท ซินเจนทา ครอป โปรเทคชั่น จำกัด กล่าวว่า "สองปีที่ผ่านมาโครงการ 'เพาะดี กินดี' ได้พิสูจน์ว่าเมื่อเกษตรกรได้รับคำแนะนำที่ถูกต้อง เกษตรกรได้รับความรู้และการสนับสนุนที่จริงใจ ส่งผลให้พวกเขากล้าปรับเปลี่ยนสู่การผลิตจากการทำการเกษตรแบบเดิมไปสู่การทำเกษตรที่ปลอดภัย ตั้งแต่การจัดการแปลงไปจนถึงการขายผลผลิตที่ตลาดยอมรับ โดยมีใบรับรอง GAP เป็นใบเบิกทางและเป็นที่ต้องการของตลาดรับซื้อ ใบ GAP กว่า 290 ใบจึงไม่ใช่แค่เอกสาร แต่คือรากฐานชีวิตใหม่ นำไปสู่รายได้ที่มั่นคง ความภูมิใจในการสร้างความมั่นคงทางอาหาร ผลิตอาหารปลอดภัย และมีความมั่นใจในอนาคต ภายใต้ความท้าทายต่างๆ ซินเจนทาจะยังคงเคียงข้างเกษตรกรไทยในทุกฤดูกาล ทุกพืช ส่งต่อเทคโนโลยี นวัตกรรมใหม่ๆ ความรู้ และเชื่อมโยงสู่ตลาดที่ยั่งยืน เพื่อร่วมสร้างระบบอาหารที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน"
นายดิเรก เครือจินลิ ผู้ประสานงานโครงการสิ่งแวดล้อมภาคเหนือ มูลนิธิรักษ์ไทย กล่าวว่า "ตลอดเวลาที่ทำงานร่วมกับชุมชนแม่วิน-แม่วาง เราเห็นชัดว่าความรู้และโอกาสสามารถเปลี่ยนชีวิตเกษตรกรได้จริง เกษตรกรเริ่มเข้าใจแนวคิดของ 'เกษตรยั่งยืน' รวมไปถึงการปลูกอย่างมีแผน มีตลาดรองรับ และใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างรู้คุณค่า โครงการ 'เพาะดี กินดี' เข้ามาช่วยเกษตรกรตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ทั้งการจัดการแปลง วิเคราะห์ต้นทุน ควบคุมคุณภาพผลผลิตตามมาตรฐาน GAP จนถึงการพัฒนาเครือข่ายตลาดระดับจังหวัดและประเทศ วันนี้เกษตรกรจำนวนมากสามารถบริหารจัดการการปลูกได้ด้วยตัวเอง มีรายได้มั่นคงขึ้น และที่สำคัญคือ ไม่ต้องวิ่งหาตลาดเหมือนในอดีต เพราะตลาดเป็นฝ่ายเข้ามาหาเอง นี่คือจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ชุมชนสามารถยืนอยู่ได้อย่างเข้มแข็งและพึ่งพาตนเองได้อย่างแท้จริง"
นายอดิเรก สิริว่องวัฒนากิจ สมาชิกกลุ่มวิสาหกิจผักปลอดภัยบ้านป่ากล้วย ตำบลแม่วิน อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ หนึ่งในเกษตรกรผู้เพาะปลูก กล่าวว่า "ใบรับรองมาตรฐาน GAP เป็นใบเบิกทางสำคัญในการเพิ่มโอกาสทางการตลาด ตอนนี้เราปลูกมะเขือเทศเชอรี่หลากสี สายพันธุ์พรีเมียมอย่าง 'มันเดย์' (Monday) และ 'ชูการ์มูน' (Sugarmoon) ที่ต้องใช้ต้นทุนสูง เพราะเมล็ดพันธุ์เฉลี่ยราคา 28-30 บาทต่อเมล็ด และต้องการการดูแลเฉพาะทาง ซึ่งโครงการ 'เพาะดี กินดี' เข้ามาช่วยให้ความรู้ตั้งแต่การเตรียมดิน การให้ปุ๋ย ไปจนถึงแนวทางการปลูกที่ปลอดภัยต่อทั้งผู้ปลูกและผู้บริโภค ส่งผลให้ผลผลิตมีคุณภาพสม่ำเสมอและเป็นที่ยอมรับของตลาด ทำให้กล้าลงทุนเพิ่มขึ้น เพราะมีผู้รับซื้อที่เชื่อมั่นในมาตรฐานผลผลิต ปัจจุบันมะเขือเทศเชอรี่ของกลุ่มสามารถจำหน่ายให้ตลาดไทได้ในราคาประมาณ 70 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งช่วยเพิ่มรายได้และความมั่นคงให้กับครอบครัว"
นางสาวพิสมัย พฤกษาฉิมพลี สมาชิกกลุ่มวิสาหกิจผักปลอดภัยบ้านห้วยตอง ตำบลแม่วิน อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า "ก่อนหน้านี้เคยปลูกผักสลัดขาย ผักสวย ได้มาตรฐานเป็นที่ต้องการของตลาดรับซื้อ แต่ตอนนี้หันมาปลูกพริกเม็กซิกันเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นพืชตัวใหม่ที่มีความท้าทาย ต้องใช้ความรู้และการดูแลที่มากกว่าผักเดิมๆ ที่เคยปลูก แต่ด้วยการสนับสนุนจากโครงการ 'เพาะดี กินดี' ทั้งด้านเทคนิคการปลูก การใช้ปุ๋ย และการดูแลโรคพืช ทำให้ผลผลิตมีคุณภาพและเป็นที่ต้องการของตลาด ผลผลิตพริกเม็กซิกันในรอบที่ผ่านมาอยู่ที่ 2,900-3,000 กิโลกรัม โดยมีโรงงานในจังหวัดลำพูนรับซื้อไปแปรรูปในราคาประมาณ 23-24 บาทต่อกิโลกรัม และส่วนที่เหลือจำหน่ายให้พ่อค้าแม่ค้าทั่วไปในราคา 50 บาทต่อกิโลกรัม ทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน เพราะการได้ใบ GAP ทำให้ตลาดเชื่อมั่นมากขึ้น ทำให้เรากล้าปลูกพืชใหม่และขยายผลผลิต เพราะมั่นใจว่ามีตลาดรองรับ"
โครงการ "เพาะดี กินดี" (Grow Well, Eat Well) ถือกำเนิดจากแนวคิดที่ต้องการให้เกษตรกรไทยสามารถ "ปลูกดี กินดี และอยู่ดี" อย่างยั่งยืน ผ่านการส่งเสริมความรู้ทางเทคนิค การจัดการแปลงที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการสร้างช่องทางเชื่อมโยงตลาดให้ถึงมือเกษตรกรโดยตรง ซึ่งภายในระยะ 18 เดือน มีเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ 'เพาะดี กินดี'แล้ว กว่า 1,700 ราย บนพื้นที่กว่า 1,200 ไร่ ในเครือข่ายใน 7 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย พะเยา น่าน ลำพูน ลำปาง และ หนองคาย โดยมีภาคีเครือข่ายของโครงการ ได้แก่ มูลนิธิรักษ์ไทย ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอาหารศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตร กรมวิชาการเกษตร ซึ่งขณะนี้โครงการ "เพาะดี กินดี" ได้ขยายผลเป็นการผลักดันให้เกษตรกรรวมกลุ่มกันตั้งวิสาหกิจชุมชนได้สำเร็จแล้ว 10 วิสาหกิจ และกำลังวางแผนขยายไปยังภาคกลางและภาคอีสานในปีต่อไป เพื่อสร้างเครือข่ายเกษตรกรที่เข้มแข็ง มีความรู้ และมีตลาดรองรับที่มั่นคง
"ทุกใบ GAP ที่เกษตรกรได้รับในวันนี้ คือผลลัพธ์ของความร่วมมือที่แท้จริง ทั้งจากภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และพี่น้องเกษตรกร สิ่งที่เรากำลังสร้างไม่ใช่แค่เพียงระบบการผลิตที่มีมาตรฐาน แต่คือระบบความสัมพันธ์ระหว่างคนกับดิน ระหว่างเกษตรกรกับผู้บริโภค ที่ตั้งอยู่บนความเข้าใจและความไว้วางใจ เราเชื่อว่าเมื่อเกษตรกรได้รับโอกาส เขาจะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากของประเทศได้อย่างยั่งยืน ดังนั้นซินเจนทาจะยังเดินหน้าขยายโครงการต่อไป เพื่อร่วมสร้างระบบอาหารที่ปลอดภัย และยั่งยืนให้กับผู้ปลูก และผู้บริโภค เพื่อให้เกษตรกรไทยไม่เพียง 'ปลูกดี' และ 'กินดี' แต่สามารถ 'อยู่ดี' และยั่งยืน มีความสุขในวิถีเกษตรของตนเอง พร้อมส่งต่อคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับรุ่นต่อไป และสามารถแข่งขันได้ในระดับสากล" นางสาววรรณภร กล่าวสรุป